ย้อนกลับไปอ่าน Part 1 , Part 2 Part 3
Zoids Bible : Zi History File [Top Secret]
เกริ่นนำ
อันที่จริงแล้วตัวของ Zoids Bible นั้นไม่ได้เป็นหนังสือดั่งชื่อของมันเสียทีเดียว แต่จะเป็นหน้ากระดาษที่มาด้วยกันเป็นชุดเสียมากกว่า โดยหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยข้อมูลเหล่านี้จะไม่ได้เย็บเป็นเล่มมา แต่จะถูกซีลรวมอยู่ภายในชุดของเล่นที่มีชื่อว่า “Zoids Core Box” ซึ่งต่อมาได้มีการตีพิมพ์ขึ้นใหม่อีกครั้งในเวอร์ชั่นของ Zoids Graphics ที่จะมีการดัดแปลงเนื้อหาที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยเท่านั้น
และรายละเอียดที่น่าทึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ Planet Zi เหล่านี้เองที่ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลเบื้องลึกของเหล่าชาวเผ่าดั้งเดิมบน Planet Zi หรือชาว Zoidians โบราณ ตลอดจนเล่าย้อนไปถึงพัฒนาการของ Zoids Core ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของเหล่า Zoids และรวมไปถึงไทม์ไลน์การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนดาวดวงนี้
ข้อมูลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกคนที่ชอบเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับจักรวาลของ Zoids
และผู้ที่อยากจะใกล้ชิดกับ Zoids ป่า…
หรือแม้แต่การทำความรู้จักที่มาของเหล่า Zoids ในตู้โชว์ในบ้านคุณ
ให้มากกว่าที่เคย…
แต่อย่างไรก็ตามด้วยเนื้อหาที่เต็มไปด้วยศัพท์ทางวิชาการ ศัพท์เฉพาะทาง คำแสลงและทฤษฎีบางอย่างที่เข้าใจได้ยากประหนึ่งตำราวิทยาศาสตร์จริงๆ ภายในบทความนี้ผู้เขียนจึงพยายามจะมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะสอดคล้องกันต่อไปตามเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงเหล่า Zoids (โดยผู้เขียนได้ทำการตัดเนื้อหาส่วนขยายที่เล็งเห็นว่า เป็นเนื้อหาที่เข้าใจได้ยาก และอาจจะทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย ออกไปโดยให้มีผลกระทบต่อเนื้อหาสำคัญให้น้อยที่สุด)
จุดเริ่มต้นของความแตกต่าง
เฉกเช่นเดียวกับดวงดาวอื่นๆในทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ที่พวกเรารู้จัก… กาแล็คซี่ของ Zoids นั้นก็เกิดขึ้นมาในรูปแบบเดียวกัน แต่ในช่วงเวลาที่ Planet Zi ได้ถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นาน ก็ได้มีดาวเคราะห์(ที่ในเนื้อหาถูกระบุชื่อว่า “Mi” ) ที่เต็มไปด้วยธาตุโลหะหนักขนาดหนึ่งในสี่ของตัวมันพุ่งเข้าชน ทำให้ดาวทั้งสองได้หลอมรวมกันเป็นลูกไฟที่เต็มไปด้วยโลหะปริมาณมาก พร้อมกับเศษซากที่แตกกระจายออกมาของพวกมันก็ได้กลายเป็นดาวบริวารทั้งสามอย่าง De, Se และAe ในเวลาต่อมา
ภายใต้พื้นผิวของดาวที่ถูกปกคลุมไปด้วย อนุภาคโลหะหนักที่หลอมเหลวอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ราวกับเป็นเตาหลอมขนาดยักษ์ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยกรดรุนแรงและท้องทะเลที่มีส่วนประกอบของแอมโมเนียเข้มข้น
สภาพแวดล้อมที่ราวกับห้วงนรกที่ดูแล้วช่างห่างไกลจากความเหมาะสมในการกำเนิดและดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนี้เอง ก็ได้มีแบคทีเรีย “เทอร์โมฟิลิก” ถือกำเนิดขึ้นมาโดยการจำลองตัวเองภายในไฮโดรเจนซัลไฟด์ ที่เป็นพิษและการสังเคราะห์โลหะหนักในน้ำทะเลอย่างชาญฉลาดเพื่อใช้ผลิตพลังงานในการเคลื่อนที่ของพวกมัน
ด้วยพลังชีวิตอันแข็งแกร่งนี้ พวกมันได้ค่อยๆขยายพันธุ์ไปทั่วดาวเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี กระทั่งทะเล โลหะเหลวบางส่วนก็ได้เริ่มเย็นตัวลงจนเกิดเป็นแผ่นดินทวีปต่างๆ ท่ามกลางมหาสมุทรอันร้อนระอุ
ในช่วงเวลาที่สภาพแวดล้อมได้ค่อยๆเปลี่ยนไป เหล่าสิ่งมีชีวิตแห่งเหล็กเองก็ได้วิวัฒนาการเปลือกแข็งขึ้นมาจากโลหะเพื่อใช้ในการปกป้องตัวของพวกมันจากภัยคุกคามทางธรรมชาติต่างๆ
พวกมันได้เริ่มต้นเส้นทางวิวัฒนาการที่ไม่เหมือนใครโดยการดูดซับโลหะที่มีอยู่มากมายในสภาพแวดล้อมมาใช้หมุนเวียนไปทั่วร่างกายผ่านเซลล์เม็ดเลือด ให้กลายมาเป็นพลังงาน หรือแม้กระทั่งการพัฒนาระบบร่างกายที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่รอด โดยควบคุมความเข้มข้นของธาตุโลหะที่พวกมันนำเข้าสู่ร่างกายและได้รับพลังงานความร้อนจากปฏิกิริยาเคมีทางธรรมชาติ จนในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็พัฒนาเป็นกล้ามเนื้อนำไฟฟ้า และอวัยวะต่างๆยังได้พัฒนาขึ้นมาเป็น “ครีบ” กระทั่งกลายมาเป็น “ขา” ที่จะนำพาพวกมันให้ขึ้นมาเหยียบบนแผ่นดินในสุด…
อย่างไรก็ตามเพื่อความเข้าใจในเนื้อหาที่ง่ายขึ้น สิ่งมีชีวิตในดาวดวงนี้นั้นจะถูกจำแนกออกเป็น 3ประเภทหลักๆ คือ
1.พวกที่มีสามารถผลิตสารเคลือบโลหะมาปกคลุมร่างกายของตัวเอง
ได้แก่ พืช และมนุษย์ดั้งเดิมของดาวดวงนี้
(ใช่ครับ มนุษย์ที่เคยมีผิวเป็นเหล็ก และเราจะมาพูดถึงพวกเขาหลังจากนี้)
2.พวกที่สร้างเปลือกแข็งโลหะขึ้นมาเป็นโครงสร้างภายนอกของร่างกาย
โดยพวกนี้จะถูกเรียกว่า “สิ่งมีชีวิตโลหะ”
(Metal Life Form)
3.พวกสิ่งมีชีวิตโลหะจากข้อที่ 2 แต่พวกมันบางส่วนวิวัฒนาการอวัยวะสำคัญ
ที่เรียกว่า Zoid Core ขึ้นมา
และพวกนี้เองที่กลายมาเป็นต้นกำเนิดของเหล่า Zoids ที่พวกเรารู้จักกัน
“Zoid Core” จุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า Zoids
ชีวิตใน Planet Zi นั้นถือกำเนิดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมที่เหมือนเตาหลอมที่มีไฮโดรเจนซัลไฟด์เข้มข้นในอุณหภูมิ และความดันที่สูงมาก ทำให้แม้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไป และพวกมันบางส่วนได้ย้ายขึ้นมาอาศัยบนบก พวกมันก็ยังคงต้องรักษาของเหลวจาก “แหล่งต้นกำเนิด” อย่าง “น้ำทะเลที่มีองค์ประกอบที่ได้กล่าวไปข้างต้น” มาเป็นองค์ประกอบอยู่ในเลือดและของเหลวในร่างกายของพวกมันอยู่เสมอ
แต่ทว่าในยุคที่พวกมันกลุ่มแรกขึ้นบนมา น้ำทะเลก็ไม่ได้มีสภาพเป็นเตาหลอมเหมือนในอดีตอีกแล้ว (ยกเว้นในสภาพแวดล้อมพิเศษอย่างอ่างเก็บลาวาใต้ดิน) ด้วยเหตุนี้เองพวกมันจึงสูญเสียสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไป “Zoid Core” จึงเป็นระบบที่สิ่งมีชีวิตโลหะพวกนี้วิวัฒนาการขึ้นเพื่อใช้เอาชนะสถานการณ์นี้และเพื่อให้ทายาทของพวกมันจะยังดำรงอยู่ได้ต่อไปในอนาคต
แต่ก่อนที่มันจะพัฒนาขึ้นมาเป็น Zoid Core ได้นั้น แรกเริ่มเดิมทีอวัยวะนี้ ใช้ควบคุมการไหลเวียนของของเหลวและสารเคมีต่างๆภายในร่างกายของพวกมัน มันช่วยรักษาระดับอุณหภูมิและความดันในร่างกายให้สูงคงที่อย่างต่อเนื่องจากปฏิกิริยาทางเคมี
และในที่สุด ผลจากการวิวัฒนาการของอวัยวะอันสำคัญนี้ ก็ได้ค่อยๆดึงเอาอวัยวะสำคัญอื่นๆในร่างกายของมันเข้ามารวมไว้ตรงกลางของร่างกายและปกป้องมันด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและมั่นคงด้วยโลหะความเข้มข้นสูง กระทั่งกลายมาเป็นอวัยวะที่ถูกเรียกว่า Zoid Core ในที่สุด
โดยที่อวัยวะอื่นๆภายในร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อก็จะถูกแยกโซนออกมาจากอวัยวะที่พัฒนาไปเป็น Zoid Core
ด้วยเหตุนี้เอง “Zoids” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างร่างกายทั้งโครงกระดูก กล้ามเนื้อ และผิวหนังเป็นโลหะ โดยมี Zoid Core เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต ซึ่งคอยผลิตของเหลวต้นกำเนิดเทียมที่ทำหน้าที่สำคัญที่ใช้ในการดำเนินชีวิตของพวกมันต่อไปได้ดั่งสมัยบรรพบุรุษของพวกมัน
อย่างไรก็ตามในมุมมองของการสืบพันธุ์ Zoid Core นั้นไม่ใช่ “พื้นฐานในการกำเนิดชีวิตใหม่” ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาผสมพันธุ์ หากแต่เป็น “อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลทางพันธุ์กรรม” ที่อยู่บริเวณตรงกลางร่างกายของ Zoids ตัวนั้นๆ
ทั้งนี้ถึงแม้ว่าเหล่า Zoids นั้นจะไม่มีฤดูผสมพันธุ์ แต่ในแง่ของการขยายพันธุ์ อาจกล่าวได้ว่า Zoid Core ก็ถือเป็นไข่เช่นกัน …
ครั้งหนึ่ง Zoid ป่าจะขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ลงในน้ำทะเลที่มีองค์ประกอบต่างๆเหมาะสมตามที่กล่าวไว้ในข้างต้น แต่เมื่อสูญเสียสภาพแวดล้อมเหล่านั้นไป การพัฒนาระบบอย่าง Zoid Core ที่จะสามารถทำการสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับตัวอ่อนเองได้ (นึกถึงไข่ไก่ที่สามารถดูดอากาศรอบๆมาปรับอุณหภูมิและกกตัวเองได้ โดยไม่ต้องมีแม่ไก่มาคอยกกให้) จึงเป็นการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมาก
อีกกรณีหนึ่่ง…เมื่อ Zoid Core หลุดออกมาสู่ภายนอกร่างกายหลังการตายของZoids ตัวเต็มวัย Core ของตัวอ่อนเหล่านี้ ก็จะเคลื่อนตัวลงไปยังแหล่งน้ำ และเมื่ออยู่ในน้ำแล้ว พวกมันก็จะนำน้ำและธาตุโลหะเหล่านั้นเข้าไปหล่อเลี้ยงในตัวของมัน และเปลี่ยนอุณหภูมิและความดันให้สูงขึ้นจนเหมาะกับการนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ก่อนจะค่อยๆสร้างโครงกระดูกและเปลือกใหม่ขึ้นมา จนพวกมันมีร่างกายที่สมบูรณ์
แม้ว่า Zoid Core จะมีลักษณะและขนาดที่หลากหลายแตกต่างไปตามแต่ละสายพันธุ์ของมัน แต่โดยพื้นฐานพวกมันก็ทำหน้าที่ในการดำเนินชีวิตและสืบพันธุ์ของเหล่า Zoids เหมือนกัน
ทั้งนี้โครงสร้างทางกายภาพและสภาพแวดล้อมของตัวเต็มวัย ก็จะส่งผลต่อการผลิต Core ของตัวอ่อนขึ้นมาที่ไม่เท่ากัน ซึ่งปริมาณตัวอ่อนเหล่านี้เองก็ไม่ได้มีจำนวนที่ถูกกำหนดตายตัวตามสายพันธุ์เช่นกัน
Zoids ป่า กับวัฏจักรทางธรรมชาติในยุคดึกดำบรรพ์
หลังผ่านวัฏจักรของความเป็นความตายบนพื้นผิวดาวมาหลายชั่วอายุ เหล่า Zoids ก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคทองของพวกมัน เมื่อประมาณ 200 ล้านปีก่อน
พวกมันได้พัฒนาอวัยวะภายในที่ช่วยเปลี่ยนโปรตีนจากสิ่งมีชีวิตไปเป็นสารอาหารให้กับอวัยวะภายในของพวกมัน และโครงสร้างโลหะที่ได้รับก็จะแปรสภาพไปเป็นโครงกระดูกและเปลือกเกราะของพวกมัน
ระบบนิเวศรูปแบบนี้ส่งผลให้ร่างกายของพวกมันมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นจนสามารถยืนและวิ่งได้อย่างเต็มที่แม้จะมีน้ำหนักตัวที่มหาศาลก็ตาม
อีกทั้งสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีชีวิตของพวกมันในยุคสมัยนั้น ก็ทำให้พวกสายพันธุ์ไดโนเสาร์นั้นทวีคูณและเปลี่ยนรูปแบบแตกแขนงออกไปมากมาย ทั้งบนบก ในน้ำ ใต้ดินหรือแม้แต่บนท้องฟ้า จนพวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร คอยปกครองดวงดาวนี้อย่างแท้จริง…
แต่ยุคสมัยย่อมมีการเปลี่ยนไปเสมอ เมื่ออีกนับ 100ล้านปีต่อมา สภาพแวดล้อมของดาวก็ได้เปลี่ยนแปลงจากผลของการเคลื่อนที่ในวัฏจักรของระบบดาว ส่งผลให้อุณหภูมิบนพื้นผิวดาวลดลงจากเดิมมาก จน Zoid Core ของพวกมันไม่สามารถสร้างพลังงานและปรับสมดุลให้กับร่างกายที่ใหญ่โตของพวกมันได้ดีดั่งเดิม
ทำให้ช่วงเวลาแห่งยุคน้ำแข็งนี้ เปลือกที่ใหญ่และหนักของพวกมัน กลับกลายมาเป็นจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวง
และก็ด้วยเหตุนี้เอง ที่ เหล่าสัตว์เหล็กขนาดเล็กได้เริ่มขยายอิทธิพลของพวกมัน
และค่อยๆเข้ามาครองดาวแทนผู้ปกครองรุ่นเก่าอย่างพวกไดโนเสาร์ ได้ในที่สุด
หากเทียบกันด้วยขนาดร่างกายแล้วเหล่า Zoids สายพันธุ์สัตว์ป่าที่มีขนาดตัวเล็กกว่าสายพันธุ์ไดโนเสาร์พวกนี้ พวกมันก็ดูอ่อนแอและไร้พลัง แต่พวกมันก็ยังมีจุดที่เหนือกว่าเหล่าไดโนเสาร์อยู่ นั่นก็คือ “ประสิทธิภาพในการผลิตและใช้พลังงานในร่างกายของพวกมันนั้นกลับดีกว่ามาก”
พวกมันกินน้อยและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว สายพันธุ์สัตว์ป่าได้ขยายพันธุ์ ออกลูกออกหลานอยู่ภายในถ้ำและโพรงใต้ดินไม่กี่แห่งที่ยังมีความอบอุ่นให้พวกมันได้อาศัยจนกว่าช่วงเวลาแห่งยุคน้ำแข็งจะผ่านพ้นไป และพวกมันยังได้สืบทอดวิธีการสร้างพลังงานที่บรรพบุรุษของพวกมันเคยใช้อย่าง การย่อยสลายองค์ประกอบโลหะภายในร่างกายของพวกมันมาเป็นพลังงาน(เหมือนการดึงสารอาหารที่กักตุนไว้มาใช้ในตอนจำศีล)
ทั้งนี้สิ่งที่สร้างช่องว่างของความได้เปรียบระหว่างสายพันธุ์ทั้งสองก็คือ “น้ำ” เพราะในขณะที่สายพันธุ์ไดโนเสาร์ต้องการแหล่งน้ำในการให้ตัวอ่อนของพวกมันเติบโตขึ้นมาได้ แต่พวกสายพันธุ์สัตว์ป่าเลือกที่จะวิวัฒนาการ Core ของพวกมันขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องใช้แหล่งน้ำในการเติบโตของตัวอ่อน(เปรียบกับการออกลูกเป็นไข่ กับการออกลูกเป็นตัว)
ด้วยเหตุนี้เองสายพันธุ์สัตว์ป่าจึงยังคงเจริญเติบโตต่อไปได้ ในขณะที่สายพันธุ์ไดโนเสาร์ส่วนใหญ่ต่างล้มตายและยากต่อการขยายพันธุ์ แต่ถึงแม้จะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ก็ยังคงมีสายพันธุ์ไดโนเสาร์บางส่วนที่รอดมาได้จากการค้นพบพื้นที่ที่มีความกดอากาศและอุณหภูมิที่สูงพออย่างแหล่งลาวาใต้ดิน และพวกมันก็ใช้ชีวิตและขยายพันธุ์อยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับน้ำทะเลดึกดำบรรพ์ที่พวกมันกำเนิดขึ้นมา
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อยุคน้ำแข็งได้ผ่านพ้นไป พวกมันที่เหลือจำนวนไม่มาก(เมื่อเทียบกับก่อนยุคน้ำแข็ง) ก็ไม่มีกำลังพอจะแย่งชิงตำแหน่งผู้ปกครองดวงดาวแห่งนี้มาจากสายพันธุ์สัตว์ป่าที่ได้เจริญเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมได้
ดังนั้นเมื่อประมาณ 30ล้านปีก่อน บนพื้นผิวของดาวจึงกลายเป็นโลกของสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์ป่า ซึ่งเป็นลูกหลานของพวกสายพันธุ์ขนาดเล็กเหล่านั้น
และเมื่อกาลเวลาผ่านไป สภาพอากาศที่กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง เหล่าสายพันธุ์สัตว์ป่าก็ก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของพวกมัน ทำให้เริ่มมีสายพันธุ์ขนาดใหญ่อย่าง วาฬ และ ช้าง เริ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตในประวัติศาสตร์ของดาวโลก ก็คงจะเป็นขนาดตัวของสัตว์โลหะเหล่านี้ที่บางสายพันธุ์ย่อยของพวกมันเติบโตขึ้นจนมีขนาดเทียบเท่ากับพวกสายพันธุ์ไดโนเสาร์ในยุครุ่งเรืองเลยทีเดียว
Ancient Zoidian มนุษย์ดั้งเดิมของ Planet Zi
ที่มาแรกเริ่มของ humanoid-type อย่าง Zoidians นั้นยังคงเป็นปริศนาที่ไม่ชัดเจน ในทฤษฎีที่โดดเด่นที่สุดนั้นคือ พวกเขาวิวัฒนาการมาจากสัตว์ขนาดเล็กที่มีวิถีชีวิตอยู่บนต้นไม้ แล้วด้วยความที่ไม่มี Zoid Core เหล่า Zoidians จึงไม่นับว่าเป็น Zoid เช่นเดียวกับสัตว์โลหะชนิดอื่นที่ไม่มี Core อยู่ภายในเช่นกัน
สัตว์ขนาดเล็กบนต้นไม้นั้นไร้อำนาจ พวกมันไม่มีเขี้ยวที่แหลมคม และด้วยความที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ น้ำหนักของพวกเขาก็กลายเป็นอุปสรรค เปลือกโลหะของพวกเขาจึงวิวัฒนาการให้บางลงมากหากเทียบกับสิ่งมีชีวิตโลหะประเภทอื่นๆบนดาว
แต่ในทางกลับกัน แขนขาของพวกเขาก็มีอิสระในการใช้งานในระดับสูง ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงพัฒนาสมองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการเอาชีวิตรอดจนกระทั่งสามารถใช้งานเครื่องมือต่างๆในธรรมชาติได้
กล่าวกันว่าพวกเขาบางคนมีความสามารถในการทำให้เปลือกบนร่างกายแข็งขึ้นได้ช่วงเวลาหนึ่งเมื่อมีอันตรายเข้ามาใกล้ หรือ ที่เรียกกันว่า ความสามารถในการ “เคลือบผิว” (Plating Ability) แต่อย่างไรก็ตามอย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า โดยปกติแล้ว พวกเขาก็เลือกที่จะละทิ้งเปลือกแข็งและหนักของตนเอง เพื่อให้มือเท้าเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
และด้วยการพัฒนาทางด้านเครื่องมือและทักษะในการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ สายพันธุ์ของ Zoidians ก็ได้เอาชนะยุคน้ำแข็งมาได้รุ่นแล้วรุ่นเล่าจาก การใช้ไฟและห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อผ้าที่พวกเขาทำขึ้น
อย่างไรก็ดีคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสิ่งมีชีวิตบน Planet Zi นั้นก็คืออวัยวะที่ทำหน้าที่ดูดซับโลหะเข้าสู่ร่างกายและใช้มันเป็นส่วนประกอบในการผลิตเปลือกโลหะของเหล่าสิ่งมีชีวิตโลหะพวกนี้ ซึ่งอวัยวะเดียวกันนี้ก็มีอยู่ภายในตัวของเหล่า Zoidians ด้วยเช่นกัน
แต่ด้วยผลของการวิวัฒนาการ (แบบเสื่อมสภาพลง) เป็นเวลากว่า 100,000ปี อวัยวะนี้ก็ได้ถูกลดขนาดลง จนเหลือหน้าที่เป็นเพียงแค่อวัยวะที่ใช้ย่อยอาหารที่มีธาตุโลหะสูงเท่านั้น
และถึงแม้ว่าจะมีธาตุโลหะไหลเวียนอยู่ในเลือดและผิวหนังอยู่มาก แต่ชาว Zoidians ที่มีเปลือกแข็งคลุมตัวอย่างในอดีตก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ชาว Zoidians ที่วิวัฒนาการมาก็ยังคงหลงเหลือเปลือกนอกที่เป็นโลหะอยู่บนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคล้ายกับปาน ที่ไม่ได้มีหน้าที่สำคัญอย่างการปกป้องร่างกายจากศัตรูเหมือนในอดีต
ทำให้สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ไม่ได้เป็นมากไปกว่าธาตุโลหะส่วนเกินที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น
สิ่งนี้คล้ายกับความเสื่อมของขนตามร่างกายของชาวโลก และอาจกล่าวได้ว่า ทั้งสองสิ่งนี้เป็นลักษณะทางร่างกายที่สูญเสียไปตามความก้าวหน้าของอารยธรรม และในวิถีชีวิตของชาว Zoidians
เปลือกโลหะขนาดเล็กเหล่านี้ก็ถูกมองเป็นเหมือนแฟชั่นตกแต่ง หรือสัญลักษณ์ประจำตระกูล
โดยมักจะมีการแกะสลักรอยสักในบริเวณที่เห็นได้ชัดอย่างบนใบหน้าของพวกเขาอีกด้วย
ความสัมพันธ์ของชาว Zoidians และเหล่า Zoids ป่า
เมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว ชาว Zoidians ได้ใช้เครื่องมืออย่างหินและไฟ ในการจับและล่าเหยื่ออย่างเหล่า Zoids ป่า ที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านของพวกเขา ซึ่งถึงแม้ว่าเปลือกโลหะของ Zoids ป่านั้นจะแข็งและไม่เหมาะที่จะนำมาบริโภค แต่กล้ามเนื้อและอวัยวะบางส่วนของพวกมันก็ยังคงเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าสูง
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถเจาะเปลือกโลหะของพวกมันด้วยเครื่องมือหินได้ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ประสบการณ์ จนเชี่ยวชาญในวิธีการจำกัดการเคลื่อนไหวของเหล่า Zoids ป่า โดยการใช้หินแม่เหล็กตามธรรมชาติซึ่งต่อมาก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นอุปกรณ์แม่เหล็กเต็มรูปแบบในเวลาต่อมา
พวก Zoids ป่านั้นมีธาตุโลหะจำนวนมากอยู่ในอวัยวะภายใน
โดยเฉพาะในหัวใจ ทำให้บางครั้งแม่เหล็กที่ทรงพลังก็อาจทำให้หัวใจของพวกมันหยุดเต้นลงเช่นกัน
หลังจากจับ Zoids ป่าได้ เปลือกของพวกมันที่กินไม่ได้ ก็จะถูกนำไปแปรรูปเป็นเครื่องมือเหล็กคุณภาพสูงโดยผ่านกระบวนการด้วยเตาเผาอุณหภูมิสูง
ในขณะที่เทคโนโลยีการจับ Zoids ป่าก้าวหน้าขึ้นนั้น ผู้คนก็เริ่มใช้ชีวิตกันเป็นกลุ่มมากยิ่งขึ้น โดยมี Zoids บางสายพันธุ์มาอยู่ร่วมด้วยในบทบาทของสัตว์เลี้ยง
อย่างเช่นว่า นักล่าจะนำ Zoids นักล่าขนาดเล็กที่มีประสาทสัมผัสด้านกลิ่นยอดเยี่ยม ไปออกล่าพร้อมกับพวกเขา ก่อนจะแบ่งส่วนที่ล่ามาได้ให้พวกมันเป็นค่าตอบแทน
นอกจากนี้ชนเผ่าเร่ร่อนก็ยังเลือกที่จะใช้นกขนาดยักษ์ในการเป็นพาหนะในการขนส่งหรือเดินทางของพวกเขา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประเภทใด พวกมันล้วนแต่ถูกชาว Zoidians ในแต่ละพื้นที่เลือกและเลี้ยงต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จน Zoids ป่าเหล่านั้นเองก็ค่อยๆเชื่องและปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกับอารยธรรมของพวกเขาจากรุ่นสู่รุ่นของพวกมันด้วยเช่นกัน
ซึ่งหากเราย้อนรอยไปยัง ยุคเมกาลิธิก (Megalithic Age หรือ ช่วงยุคหินใหม่) ก็จะพบบันทึกที่กล่าวถึง Zoids ขนาดใหญ่ที่ถูกใช้ในการขนส่งก้อนศิลาขนาดใหญ่อยู่ด้วย
หลักฐานเหล่านี้ก็บ่งชี้ว่าได้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานระหว่างชาว Zoidians และเหล่า Zoids
และจากการผ่านประวัติศาสตร์ของการฝึกที่ยาวนานเหล่านี้เอง ก็ทำให้มีเพียงเหล่า Zoids สายพันธุ์ที่แข็งแกร่งและเชื่อฟังมากพอเท่านั้น ที่ได้รับการคัดเลือกสืบมา จนเมื่อชาว Zoidians ได้เริ่มกลายเป็นชนพื้นเมืองในแต่ละท้องถิ่น
ในแต่ละที่ก็จะมี Zoids โดดเด่นประจำเผ่าของตนเองต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบัน
สายพันธุ์ต่างๆเหล่านี้ ก็มีลักษณะที่แตกต่างไปจากความเป็น Zoids ป่าอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบัน
ซึ่งจากจุดที่นำเหล่า Zoids มาใช้งานร่วมกับวิถีชีวิตของชาว Zoidians นี้เอง
ในที่สุดมันก็ได้พัฒนาไปสู่การนำเทคโนโลยีตามยุคสมัยมาดัดแปลงติดตั้งเข้ากับร่างกายของเหล่า Zoids
กระทั่งเมื่อเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า ความขัดแย้งที่นำพาเหล่า Zoids ไปสู่ความผิดธรรมชาติ จนพวกมันกลายเป็นเครื่องจักรสังหารในสงคราม…
และที่การมาถึงของ “ชาวโลก”(Earthling) กับเทคโนโลยีล้ำยุคของพวกเขาในเวลาต่อมา ก็เป็นต้นเหตุให้ดาวแห่งโลหะดวงนี้ ต้องจมลงสู่ไฟสงครามที่ทั้งเลือดและเหล็กต่างก็ต้องสูญเสียไปอย่างยาวนานราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น…
รออ่านตอนต่อไป…จุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม สงคราม และความสูญเสีย
บทความโดย WolfTales
-
BEYBLADE X : UX09 Starter Samurai Saber 2-70 L [รีวิว / สั่งซื้อ / เบย์เบลด / ของแท้ / ราคา / วันวางขาย]
#beybladex #kctoysbeybladex #beybladexthailand
-
เผยรายละเอียดใหม่ Mashin Souzouden Wataru “กำเนิดใหม่ วาตารุ เทพบุตรสองโลก”
เรื่องราวของผู้กล้าคนใหม่ที่ ชื่อ วาตารุ 12 มกราคม 2025
-
Soul Land: New World เกมเปิดโลก MMO ตำนานจอมยุทธ์ภูตถังซานเกมแรกของโลก เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว!
#เกมมือถือ #เกมออนไลน์ #เกมออกใหม่