Volkswagen Beetle
ผลิตโดย : Volkswagen
วางตลาดครั้งแรก : 1938
Class : Compact Car
รูปแบบ : 2ประตู
Layout : เครื่องยนต์หลัง/ ขับเคลื่อนล้อหลัง (Rear-engine, rear-wheel drive)
เครื่องยนต์ : 1100 cc, 1200 cc, 1300 cc, 1500 cc, 1600 cc
ชุดเกียร์ : 4-Speed
กว้าง : 4,079 mm
ยาว : 1,539 mm
เมื่อเรานึกถึงเรื่องราวในโลกของดิสนีย์ เราอาจจะนึกถึงเหล่าตัวการ์ตูนอย่าง มิกกี้ เมาส์และผองเพื่อน แต่ก็มีอีกหนึ่งตัวละครสุดคลาสสิคที่ถูกพูดถึงและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นคือ เฮอร์บี้ (Herbie) รถเต่าโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) สีขาวไข่มุกที่มาพร้อมกับแถบ แดง-ขาว-น้ำเงิน เบอร์ 53 ที่มีชีวิตจิตใจเหมือนมนุษย์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครสร้างชื่อจากดิสนีย์แล้วยังเป็นไอค่อนแห่งยุค 60’s ที่น่าจดจำมาจนถึงปัจจุบัน แม้วันนี้รถเต่าจะปิดสายการผลิตไปแล้ว วันนี้เรื่องเล่ารถซิ่ง จะพาย้อนดูเรื่องราวของรถเต่าซิ่งที่ชื่อว่าเฮอร์บี้กันครับ
จุดเริ่มต้นมาจากมรดกสงคราม
ถ้าจะย้อนกลับไปดูจุดกำเนิดของรถเต่า คงต้องย้อนกลับไปช่วงปี1934 หรือช่วงไฟสงครามยังคุกรุ่น ในยุคสมัยนาซีเรืองอำนาจภายใต้การนำของ อดอลฟ์ ฮิตเลอร์ มีความคิดที่อยากจะให้มีการผลิตรถที่ประชาชนสามารถจับจองได้ในราคาไม่แพง จึงได้สั่ง เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่ เจ้าของแบรนด์รถยี่ห้อปอร์เช่ ว่าไปคิดออกแบบและสร้างรถที่ประชาชนสามารถจับจองและขับได้ง่ายสบายๆ ซึ่งปอร์เช่และทีมดีไซน์ทั้งสี่คนก็ระดมสมองกินเวลา4ปี จนเป็นที่มาของรถเต่านามว่า Beetle Type 1 ในปี1938 ก่อนที่ฮิตเลอร์จะให้ก่อตั้งโรงงานผลิตทันที ที่เมือง Wolfsburg ของประเทศเยอรมัน ซึ่งชื่อ โฟล์คสวาเกน มีความหมายคือ รถของประชาชน
แม้ว่าจะได้ยลโฉมพร้อมให้จับจอง แต่กว่าที่จะจำหน่ายขายจริงๆ ก็ต้องรอถึงช่วงปี 1945 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่2 จบลงแต่เยอรัมนก็พ่ายแพ้สงคราม ทำให้โรงงานตกอยู่ภายใต้การดูแลของอังกฤษ ภายใต้การดูแลของ อิวาน เฮิรส์ นายทหารและวิศวกร(ก่อนหน้านี้ได้มีการเสนอกับค่ายรถอเมริกันชั้นนำมากมายที่จะสานต่อแต่ถูกปฏิเสธ)
หลังจากตั้งแต่ปี 1946 เป็นต้นมา เจ้ารถเต่าก็สามารถผลิตและวางจำหน่ายจนเป็นที่ถูกอกถูกใจคนในประเทศ ก่อนจะส่งออกไปต่างประเทศจนทำให้ตั้งแต่ปี1951เป็นต้นมา มันสามารถทำกำไรให้กับบริษัทจนมีรายได้มั่นคงแล้วสร้างชื่อให้กับบริษัท ด้วยราคาไม่แพงสามารถจับจองได้ง่าย ขับสะดวกจนเป็นขวัญใจของคนทุกเพศทุกวัย แล้วมีการผลิตมาเรื่อยๆส่วนใหญ่จะเป็นการอัพเดทรายละเอียดบางส่วนให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่งในปี 1998 Beetle ก็ได้ออกรุ่นที่ 2 ที่รูปร่างทันสมัยขึ้นโดยวางจำหน่ายในปี 1998-2010 ก่อนจะปิดตำนาน กับ Beetle A5 ในเดือนมิถุนายนปี 2019 ซึ่งเหตุผลมาจากยอดขายที่ไม่ตรงตามเป้าและปัจจัยหลายๆอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม Beetle รุ่นแรกกลายเป็นรถขึ้นหิ้งคลาสสิคที่ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะสายคลาสสิคที่จะสามารถตกแต่งตามใจผู้ขับทั้งแบบดั้งเดิมหรือผสมผสานเข้ากันระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน
จากรถของประชาชนสู่ดาราขวัญใจมหาชนของดิสนีย์นามว่า Herbie
ในช่วงยุค 60-70 ต้องบอกว่าเป็นยุคที่รถเต่าเฟื่องฟูเพราะมันได้กลายเป็นขวัญใจของคนอเมริกัน ซึ่งตอนนั้นเองที่รูปร่างของรถเต่าคันนี้ไปสะดุดตากับทีมงานของดิสนีย์ที่กำลังวางแผนจะสร้างหนังที่มีรถเป็นตัวเอกจากผลงานของ กอร์ดอน บูร์ฟอร์ด ในชื่อ Car, Boy, Girl ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นทางการในชื่อเรื่องว่า The Love Bug ผลงานการกำกับของ โรเบิร์ต สตีเวนสัน นำแสดงโดย ดีนส์ โจนส์, มิตเชลล์ ลี และ บัดดี้ แฮ็คเก็ต เข้าฉายครั้งแรกวันที่ 24 ธันวาคม 1968 (ฉายวงกว้าง 13 มีนาคม 1969) ด้วยทุนสร้าง 5ล้านเหรียญ ก่อนจะกวาดรายได้ 51.3 ล้านเหรียญ ทำให้เจ้ารถเต่านามว่าเฮอร์บี้กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของค่ายดิสนีย์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งทำให้ใครหลายคนที่มีรถเต่าถึงกับทำสีพร้อมติดเบอร์ 53 เป็นแฟชั่นสุดฮิตติดเทรนด์กันเลยทีเดียว
และด้วยความฮิตของเจ้าเฮอร์บี้ ทำให้ทางดิสนีย์ก็ได้สร้างภาคต่ออีกสามภาคตามมาติดๆ Herbie Rides Again (1974), Herbie Goes Monte Carlo (1977) และ Herbie Goes Banana (1980) ก่อนจะหันไปสร้างทีวีซีรีส์ 5ตอนจบในชื่อ The Love Bug TV Series (1982) และหนังทางทีวีที่ถูกวางเป็นภาคต่อจากภาคแรกอย่าง The Love Bug (1997) ก่อนที่ในปี2005 จะติดเครื่องอีกครั้งในชื่อ Herbie Fully Loaded (2005)
การผจญภัยของเฮอร์บี้
The Love Bug (1968)
จิม ดักลาส นักแข่งหนุ่มผู้อับโชคที่ไม่เคยชนะเลยซักรายการกำลังจะหารถคันใหม่ที่จะเอาไว้ใช้แข่ง แต่ด้วยทุนทรัพย์ไม่ค่อยจะมี จนวันหนึ่งได้เจอกับรถเต่า Volkswagen Beetle ปี1963 สีขาวไข่มุก เบอร์ 53 นามว่าเฮอร์บี้ ก่อนที่เขาจะพบว่ารถคันนี้ไม่ใช่รถธรรมดาแต่มันมีจิตใจเหมือนมนุษย์ เขาและเพื่อนรักอย่าง เทนเนสซี่ กับ สาวสวยอย่าง แครอล จึงจับปรับแต่งก่อนไปลงแข่งสร้างชื่อในสนามนับไม่ถ้วน แถมต้องเจอกับ ปีเตอร์ ธอร์นไดค์ เจ้าของรถตัวแสบที่ทำทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ
Herbie Rides Again (1974)
เรื่องราวในภาคนี้เฮอร์บี้ได้ไปอยู่กับ คุณนายสเติร์นเมซ ซึ่งเป็นป้าของ เทนเนสซี่ ตัวละครจากภาคแรก กำลังประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยเมื่อเศรษฐีจอมละโมบนามว่า อลองโซ่ ฮอว์ก กำลังต้องการกว้านซื้อพื้นที่รอบๆบ้านของเธอรวมถึงบ้านเพื่อสร้างเป็นตึกระฟ้าเพื่ออวดบารมี
แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่ยอมขายที่ให้ จนอีกฝ่ายต้องส่งหลานชาย วิลเลอร์บี้ เข้าไปเจรจาซื้อที่ แต่หลานชายคนนี้กลับมีเหตุผลและเข้าใจความรู้สึกของคุณนาย ประกอบกับเขาตกหลุมรักแอร์โฮสเตสสาวนามว่า นิโคล ซึ่งคอยดูแลคุณนายอยู่ (ซึ่งตอนแรกเธอไม่ชอบเขาเพราะรู้ภายหลังว่าเป็นหลานของฮอว์ก ทำให้วิลเลอร์บี้ตัดสินใจยื่นมือช่วยคุณนายเพื่อจัดการกับลุงตัวเองพร้อมพิชิตใจนิโคลให้ได้ โดยมีเฮอร์บี้เป็นผู้ช่วย
Herbie Goes Monte Carlo (1977)
ภาคนี้เฮอร์บี้กลับไปอยู่กับเจ้าของคนเดิมอย่าง จิม ดักลาส ที่รอบนี้มีผู้ช่วยช่างเครื่องนามว่า วิลลี่ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังยุโรปเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรถข้ามทวีปที่มอนติคาโล ซึ่งความเร็วของเฮร์บี้ไม่เป็นสองรองใคร แต่งานนี้เจ้ารถเต่าก็ทำเอาเจ้าของปวดหัวเพราะ เจ้ารถเต่าดันตกหลุมรัก Lancia Monte Carlo แบบหัวปักหัวปำจนไม่มีสมาธิแข่งขัน
แถมทำให้เจ้าของรถแลนเซียอย่าง ไดแอน คิดว่าพระเอกของเราเป็นพวกโรคจิตซะงั้น แถมต้องเจอกับกับสองโจรที่เพิ่งจะปล้นเพชรมูลค่าแพงมหาศาลแล้วดันไปว่อนที่ตัวเฮอร์บี้ งานนี้มอนติคาโล อลเวง เพราะเจ้าเฮอร์บี้แท้ๆ (ฮ่า!)
Herbie Goes Banana (1980)
เมื่อเด็กหัวขโมยนามว่า เปโก้ ได้เจอกับเจ้าเฮอร์บี้จนเกิดการผจญภัยสุดวัยป่วงทั้งบนบกและบนน้ำในแถบเม็กซิโก แถมต้องไปพัวกันกับกลุ่มนักธุรกิจจอมวายร้ายที่มีแผนการชั่วร้ายบางอย่าง
แต่ถ้าพูดถึงฉากจำของหนังภาคนี้เมื่อเฮอร์บี้สวมใจสิงห์ต้องมาเป็นนักสู้วัวกระทิง (สุดจัดปลัดบอก ฮ่า!) ส่วนอีกฟากหนึ่งสองหนุ่มคู่หูอย่างพีทและดีเจ ก็ต้องตามหาเจ้าเฮอร์บี้หลังจากที่พลัดหลงกะทันหัน
The Love Bug TV Movie (1997)
หนังฉายทางทีวีที่มีเนื้อหาต่อจากภาคแรก เมื่อเจ้าของคนใหม่อย่าง แฮงค์ คูเปอร์ ช่างเครื่องหนุ่ม ที่ต้องมาแข่งกับนักแข่งผู้เย่อหยิ่งนามว่า ไซม่อน มัวร์ III
ซึ่งอีกฝ่ายรู้เรื่องราวปูมหลังของเจ้ารถเต่าซิ่งจาก ดร.กุสตาฟ จนสร้างฝาแฝดปีศาจของเจ้าเฮอร์บี้นามว่า ฮอเรซ ที่เขาขอท้าพระเอกและเฮอร์บี้แข่งแบบตัวต่อตัวเพื่อพิสูจน์ว่าใครคือที่หนึ่งกันแน่
Herbie Fully Loaded (2005)
30ปี ที่เฮอร์บี้ได้สร้างตำนานบนสนามแข่ง เมื่อเวลาผ่านไป มันกลายเป็นเพียงซากรถที่รอวันทุบทิ้ง แต่แล้วเจ้าเฮอร์บี้ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อการมาของ แม็กกี้ เพย์ตัน เด็กสาวผู้ชื่นชอบความเร็วที่มีสายเลือดครอบครัวเป็นนักแข่งรถ แต่พ่อของเธอกลับไม่ยอมให้เธอลงสนาม แต่เขาก็ได้ซื้อรถเต่าคันนี้เป็นของขวัญ เมื่อแม็กกี้ติดเครื่องทำให้เธอได้พบความอัศจรรย์ของเจ้ารถคันนี้และเป็นเฮอร์บี้คันนี้ที่พร้อมจะสานฝันเธอให้เป็นจริงให้ได้
20 เรื่องเล่าใต้ฝากระโปรง
แรงบันดาลใจของผู้ให้กำเนิดรถเต่าเฮอร์บี้
หนังรถเต้าชุด Herbie มีต้นทางมาจากหนังสือในปี 1961 เรื่อง Car, Boy, Girl ของ กอร์ดอน บูร์ฟอร์ด โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ในนิตยสารฉบับหนึ่งถึงที่มาของเรื่องราวอัศจรรย์ของรถที่มีจิตใจดั่งเพื่อนมนุษย์ว่า จุดเริ่มต้นมาจากตอนที่เขาเกิดและเติบโตในรัฐโคโรลาโด ซึ่งครอบครัวของเขาทำฟาร์ม ทำให้เขาเห็นภาพจำของพ่อแม่ที่ชินตาก็คือ พ่อแม่ของเขามักจะดูแลพวกยานยนต์ราวกับม้าที่อยู่ในฟาร์มของครอบครัว เป็นภาพที่น่ารักมากจนทำให้เขานำแนวคิดนี้มาต่อยอดเป็นเรื่องราวของรถที่มีชีวิตจิตใจและพร้อมจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของทุกคน
การเฟ้นหารถที่จะมารับบท ‘เฮอร์บี้’
ภาพประกอบ: D23.COM
ภาพจำของแฟนหนัง Herbie เมื่อนึกถึงชื่อนี้เราจะนึกถึงรถเต่า Volkswagen Beetle มีเรื่องเล่าสนุกๆว่า ตอนที่พวกเขาจะสร้างหนังเรื่อง The Love Bug ปัญหาแรกที่พวกเขาคิดหนักก็คือ การเฟ้นหารถที่จะมาเป็นตัวเอกของเรื่องด้วยการนำรถที่น่าสนใจหลากหลายสัญชาติ มาจอดเรียงโชว์ที่หน้าสตูดิโอ โดยมีทั้ง Toyota, Fiat, Volvo, MG และ Volkswagen ส่วนวิธีการคัดเลือกทีมงานใช้วิธีสังเกตการณ์เหล่าพนักงานในสตูดิโอที่เดินผ่านไปมาในช่วงพักกลางวัน พวกเขาเดินผ่านรถที่จอดตรงหน้า บางทีก็เตะหรือไปลองขับข้างใน แต่แล้วพวกเขาก็เจอดาวเด่นที่จะมาสวมบทเป็นเฮอร์บี้ นั่นคือ Volkswagen Beetle ปี1963 เพราะทีมผู้สร้างสังเกตเห็นว่าหลายคนมองว่า เป็นรถที่ดูท่าทางเป็นมิตรมากที่สุด
ที่มาของเบอร์ 53 และ ป้ายทะเบียน OFP 857
ภาพจำของเจ้าเฮอร์บี้คือ รถเต่า Volkswagen Beetle สีขาวไข่มุก คาดแถบสีแดง-ขาว-น้ำเงิน พร้อมหมายเลขประจำตัวเบอร์ 53 และหมายเลขทะเบียน OFP 857 ซึ่งมีที่มาที่ไปน่าสนใจมากๆ โดยเริ่มจากเบอร์ 53 ที่หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องเป็นหมายเลขนี้ คำตอบมาจากผู้อำนวยการสร้างหนังและผู้กำกับชื่นชอบนักเบสบอลคนหนึ่งที่ชื่อ ดอน ดรายส์เดล แห่งทีม แอลเอ ดอดจ์เจอร์ ซึ่งสวมเสื้อเบอร์ 53 จนกระทั่งอำลาวงการ ด้วยฝีมืออันเอกอุของเขา ทางทีมจึงได้รีไทร์เบอร์เสื้อของเขา ส่วนหมายเลขทะเบียนของเฮอร์บี้ มันคือเดือนสิงหาคมปี1957 ซึ่งเป็นเดือนแรกที่พวกเขาเปิดกล้องหนังเรื่อง The Love Bug และหมายเลขทะเบียนนี้ได้ถูกนำใช้มาในอีกหลายๆภาค (ยกเว้นภาค Fully Loaded)
ที่มาของชื่อ ‘เฮอร์บี้’
ในภาพยนตร์ The Love Bug เราจะรู้ที่มาของชื่อเฮอร์บี้ โดย เทนเนสซี่ เพื่อนรักของ จิม ดักลาส เล่าว่า เป็นชื่อลุงของเขาที่มีนามว่า เฮิร์บ เป็นอดีตนักมวยเก่า แต่ในชีวิตจริงที่มาของชื่อรถเต่ามาจาก บัดดี้ แฮ็คเก็ต ผู้รับบท เทนเนสซี่ หยิบเอาชื่อนี้มาจาก ตอนที่เขาไปแสดงเดี่ยวไมโครโฟนที่ลาสเวกัส ซึ่งพูดถึงครูสอนสกีคนหนึ่งนามว่า เฮอร์บี้ แล้วเผอิญ บิล วอลช์ หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้ ได้ไปชมการแสดงครั้งนั้น แล้วชอบมาก ทำให้ตอนถ่ายทำเขาจึงมอบชื่อนี้ให้กับรถเต่า จนกลายเป็นชื่อติดตัวรถคันนี้จนปัจจุบัน
พวกเราก็เป็นนักโทษเหมือนกันนะ แม่สาวน้อย!
ในฉากหนึ่งของหนังเรื่อง The Love Bug ในตอนที่พระเอกและนางเอกกำลังหัวเสียกับเจ้ารถเต่าที่มันพาไปเที่ยวแบบไร้จุดหมายก่อนจะพาทั้งคู่แวะที่ร้านอาหาร แล้วนางเอกออกจากรถไม่ได้ ก่อนจะตะโกนไปขอความช่วยเหลือฮิปปี้สองคนที่กำลังลิ้มรสชาติอาหาร ซึ่งนางเอกตะโกนว่า “ช่วยด้วย เราเป็นนักโทษ เราออกจากรถไม่ได้!” ก่อนที่พ่อฮิปปี้รูปหล่อจะตอบไปแบบกวนๆว่า “พวกเราก็เป็นนักโทษเหมือนกันนะ แม่สาวน้อย!!” ซึ่งเป็นฉากที่เราอาจไม่เคยสังเกต เพราะว่าฉากนี้ ดีนส์ โจนส์ พระเอกของเราขอผู้กำกับแสดงบทนี้ด้วยตัวเอง ชนิดว่าพอแต่งหน้าเมคอัพ หลายคนจำเขาไม่ได้จริงๆ
Herbie Number 2
มีรถเต่าจำนวน 20 คัน ที่ถูกสร้างและปรับแต่งเพื่อใช้เข้าฉากในหนัง The Love Bug ซึ่งปัจจุบันมีหลายคันที่ไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่ถูกทำลายก็ถูกขายให้กับเหล่านักสะสมเดนตาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Herbie Number 2 ซึ่งเป็นรถเต่าที่ถูกจับมาแต่งเต็มที่เพื่อใช้ในฉากแข่งขัน ซึ่งเครื่องยนต์พวกเขาใช้เครื่องยนต์ร่วมสถาบันอย่าง Porsche 356 มาใส่พร้อมปรับช่วงล่างให้ทนทานกับฉากแข่งขัน ปัจจุบันรถคันนี้ยังคงอยู่มาจนปัจจุบัน
การบังคับเจ้าเฮอร์บี้
เนื่องจากสมัยก่อน เทคโนโลยีการถ่ายทำยังไม่ก้าวหน้าเหมือนวันนี้ The Love Bug เป็นหนึ่งในหนังที่มีการลองผิดลองถูกเพื่อจะเนรมิตให้รถคันนี้มีชีวิตชีวาให้ได้ ซึ่งพวกเขาได้สร้างรถเต่า 20 คัน โดยแต่ละคันจะเอาไว้ถ่ายฉากต่างๆ ซึ่งฉากที่รถต้องบังคับด้วยตัวเองนั้น พวกเขาดัดแปลงภายในรถเพื่อสร้างตัวบังคับรถอีกทีหนึ่ง แล้วให้สตั๊นท์เข้าไปขับโดยที่ต้องก้มต่ำเวลาขับอีกด้วย ส่วนภาคหลังๆเมื่อเทคโนโลยีตอบโจทย์พวกเขาสามารถทำให้รถเต่าสามารถแสดงความรู้สึก
The Love Bug Day
ถือเป็นการโปรโมตหนังที่น่าสนใจหลังจากที่หนังเรื่อง The Love Bug เข้าฉายกระแสหนังดี แม้แต่รถเต่าก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามากกว่าทุกปี งานนี้ดิสนีย์เลยจัดกิจกรรมรวมคนรักรถเต่าในงาน The Love Bug Day ที่ดิสนีย์แลนด์ โดยให้ทุกคนที่มีรถเต่าเนรมิตและสร้างสรรค์รถเต่าในแบบของตัวเองตั้งแต่น่ารักไปจนถึงหลุดโลก โดยมีรถเข้าร่วมงานถึง 100 คัน โดยจัดขึ้นวันที่ 23 มีนาคม 1969 พร้อมกับจัดเป็นขบวนพาเหรดให้คนที่มาเที่ยวได้เชยชม ก่อนจะตัดสินหารถที่สวยและสร้างสรรค์ที่สุดเพราะผู้ชนะจะได้รับรถเฮอร์บี้ตัวเป็นๆกลับบ้านฟรีๆ ซึ่งผู้ที่จะมามอบกุญแจก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ดีนส์ โจนส์ หรือ พี่จิม ดักลาสพระเอกจากเรื่อง The Love Bug นั่นเอง
ไม่มีมีการเอ่ยถึง VW ในหนัง
ถ้าสังเกตดีๆว่าใน The Love Bug เจ้าเฮอร์บี้ ที่แม้จะเป็นรถเต่าเราอาจจะไม่เห็นโลโก้ VW บนตัวรถหรือฝาครอบล้อ รวมถึงเวลาเรียกเฮอร์บี้ก็ใช้ชื่ออื่นอย่างรถคันเล็ก เหตุผลเพราะทาง Volkswagen ยังไม่มั่นใจในตัวหนัง แต่เมื่อหนังประสบความสำเร็จก็ทำให้ทางค่ายรถจึงกระโดเข้ามาช่วยโปรโมตหนังภาคต่ออย่าง Herbie Rides Again ด้วยการนำโปสเตอร์ไปติดตามตัวแทนจำหน่ายรถ VW แล้วลูกค้าสามารถซื้อสติกเกอร์ลายแบบเฮอร์บี้ได้ที่ร้านอีกด้วย
ชื่อที่เคยเป็นตัวเลือกก่อน จะมาเป็น The Love Bug
ในช่วงที่พัฒนาบทหนัง ในส่วนชื่อหนังก็ได้มีการระดมชื่อต่างๆที่เหล่าทีมงานเสนออกมา ชื่อที่ว่ามีทั้ง The Magic Volksy, The Runaway Wagen, Beetlebomb, Wonderbeetle, Bugboom และ Thunderbug ก่อนท้ายที่สุดพวกเขาจึงใช้ชื่อ The Love Bug เป็นชื่อหนังที่เรารู้จักนั่นเอง
ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร อลองโซ่ ฮอว์ก
ในภาคต่ออย่าง Herbie Rides Again (1974) ซึ่งมีวายร้ายประจำเรื่องอย่าง อลองโซ่ ฮอว์ก เศรษฐีจอมละโมบที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งเขาต้องการจะสร้างตึกระฟ้าเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของตัวเอง
แต่ว่า คุณนายสเติร์นเมซ กลับไม่ขายที่ให้เขาจึงส่งคนมาก่อกวน รวมถึงส่งหลานชายนามว่า วิลเลอร์บี้ แต่ภายหลังเขาช่วยคุณนายเพื่อทวงสิทธิ์พื้นที่ร่วมกับนิโคลและเจ้าเฮอร์บี้ ความน่าสนใจคือตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครตัวเดียวกับวายร้ายจากเรื่อง Absent-Minded Professor (1961) และมีภาคต่ออย่าง Flubber ซึ่งรับบทโดย คีแนน เวยน์
ตัวละครที่มีการเชื่อมโยงภาคแรก
แม้ว่าหนังเรื่อง Herbie Rides Again (1974) จะมีเนื้อหาเหมือนแยกจักรวาลแต่ความจริงก็มีการเชื่อมโยงภาคแรก ผ่านตัวละคร คุณนายสเติร์นเมซ ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของ เทนเนสซี่ ตัวละครจากภาคแรกนั่นเอง ซึ่งผู้ที่รับบทคือ เฮเลน เฮยส์ ที่การแสดงของเธอทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นที่รักของผู้ชม
ฉากข้ามทะเลสาบ
หนึ่งในฉากจำของภาค Goes to Monte Carlo (1977) หนังลำดับที่สามของหนังชุดเฮอร์บี้ ก็คงนึกถึงฉากที่เฮอร์บี้วิ่งกระโดดข้ามทะเลสาบราวกับจอมยุทธ์ ซึ่งสังเกตดีๆว่า ฉากนี้ใช้สถานที่เดียวกับที่ถ่ายทำในภาคแรก ซึ่งถ่ายที่สตูดิโอของดิสนีย์นั่นเอง…
ว่าด้วยเรื่องถังน้ำมันด้านข้างรถ
ในภาค Goes to Monte Carlo (1977) มีจุดน่าสังเกตก็คือฝาเติมน้ำมันเครื่อง ถือว่าแปลกมากๆ ซึ่งปกติที่เติมน้ำมันจะอยู่ด้านหน้ารถเมื่อเราเปิดฝากระโปรงออกมา ซึ่งเหตุผลที่มีที่เติมน้ำมันด้านข้าง เพราะภาคนี้ เหล่าโจรได้นำเพชรที่ขโมยมาซ่อนไว้ด้านนี้นี่เอง
ทิ้งรถลงมหาสมุทร
ในภาค Herbie Goes Banana (1980) หนึ่งในฉากจำและรู้สึกเสียดายมากที่สุด ก็เป็นฉากที่เฮอร์บี้ถูกไล่ลงจากเรือด้วยการโยนทิ้งลงมหาสมุทร ก่อนที่มันจะมีชีวิตรอดจนได้เจอกับเด็กชายหัวขโมยที่ชื่อ เปโก้ จนเกิดผจญภัยแบบกล้วยๆชวนวุ่นวายตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งในความจริงแล้วรถคันนี้ถูกทิ้งจริงๆเพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบรถคันนี้อีกเลย (เสียดายของมากๆ)
สองนักแสดงได้กลับมาร่วมกันอีกทีในหนังฟอร์มยักษ์ 2ปีต่อมา
หนึ่งในเกร็ดน่าสนใจคือ The Love Bug ฉบับหนังทีวีปี1997 ที่ จอห์น ฮันนาห์ รับบทเป็นชายที่ชื่อ ไซม่อน ส่วน เควิน เจ’ โอ คอนเนอร์ ในบท ร็อดดี้ ซึ่งสองปีให้หลังทั้งคู่ได้กลับมาแสดงหนังร่วมกันอีกครั้ง แถมเป็นหนังฟอร์มยักษ์อย่าง The Mummy (1999) ของค่าย Universal Studio ซึ่งก่อนหน้านี้สองนักแสดงจากภาค Goes to Monte Carlo อย่าง อิริค เบรเดน และ เบอร์นาร์ด ฟ็อกซ์ ก็ได้มาแสดงในหนังเดียวกันอย่าง Titanic (1997)
Horace ฝาแฝดด้านมืดของ Herbie
The Love Bug ฉบับหนังทีวีปี1997 มีอีกสิ่งน่าสนใจก็คือเมื่อวายร้ายอย่างไซม่อน ได้ค้นพบความลับบางอย่างของเจ้าเฮอร์บี้ ก่อนจะได้เจอกับตัวละครที่ชื่อ ดร.กุสตาฟ ซึ่งเคยสร้างรถแบบเดียวกับเฮอร์บี้จนมีชีวิตจิตใจ มาช่วยสร้างรถที่เปรียบเสมือนฝาแฝดอีกด้านของเฮอร์บี้ที่ชื่อว่า ฮอร์เรซ ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์สังหาร รวมถึงปืนเลเซอร์ ที่สามารถทำให้รถขาดเป็นสองท่อนเลยทีเดียว!!
ใช้ซีจีลดขนาดหน้าอก
Herbie Fully Loaded (2005) หนังภาคสุดท้ายของหนังชุดเฮอร์บี้ที่ได้ ลินเซย์ โลแฮน มารับบทนำ ซึ่งเรื่องการแสดงไม่น่ามีปัญหา แต่ที่มีปัญหาจนทำให้หนังเป็นที่พูดถึงก็คงจะเป็นสัดส่วนรูปร่างที่เกินเด็กวัยรุ่นตามท้องเรื่อง ทำให้ดิสนีย์จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้ซีจีลดขนาดหน้าอก (จริงจังเลยนะครับเนี่ย!)
ฉากแข่งรถรายการ NASCAR
หนึ่งในฉากสำคัญนั่นคือการแข่งรถ ซึ่งหนังได้ส่งเจ้าเฮอร์บี้ไปแข่งในรายการแข่งรถยอดนิยมอย่าง นาสคาร์ (NASCAR) ซึ่งเฮอร์บี้เองก็ต้องปรับแต่งให้เข้ากับติกาที่ทางสมาคมกำหนด ในส่วนการถ่ายทำพวกเขาได้ขออนุญาตไปถ่ายทำในช่วงการแข่งขันที่สนามแข่งรถ Auto Club Speedway รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยจะถ่ายช่วงพักการแข่งขัน กับช่วงที่รถวอร์มเครื่องก่อนการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนดังในวงการมาร่วมแจมด้วย อาทิ เจฟฟ์ กอร์ดอน และ จิมมี่ จอห์นสัน เป็นต้น
ภาคเดียวที่ไม่มีการเชื่อมโยงจักรวาล
Herbie Fully Loaded (2005) เป็นภาคเดียวของหนังชุดเฮอร์บี้ ที่ไม่มีการเชื่อมโยงเนื้อหาถึงภาคเก่าๆ เรียกว่าเป็นการยกเครื่องใหม่หมดเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมี Easter egg ให้แฟนๆได้หายคิดถึงหนึ่งในนั้นคือฉากเปิดเรื่องที่นำภาคเก่าๆมาประกอบเป็นฉากย้อนอดีตนั่นเอง
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของเจ้ารถเต่าหรือ เจ้าเฮอร์บี้ที่นำมาฝาก ถ้าหากข้อมูลตกหล่น ก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
@P.PETTY
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.metv.com/lists/11-lovable-facts-about-herbie-the-love-bug
https://en.wikipedia.org/wiki/Herbie
https://10000tip.com/
https://www.imdb.com/
https://www.marketingoops.com/
https://www.grandprix.co.th/
อ่านเรื่องราวน่าสนใจ
เรื่องเล่ารถซิ่ง : Fairlady Z (S30) – ปีศาจ Z ในตำนานจาก WANGAN MIDNIGHT
เรื่องเล่ารถซิ่ง : AE86 – รถส่งเต้าหู้ในตำนาน
เรื่องเล่ารถซิ่ง : Pontiac Firebird 1987 รถซิ่งของจีบัน