Transformers [Encyclopedia]
บทความชุดนี้ แอดมินจะกล่าวถึง “จักรวาลโดยรวม” ของ ทรานส์ฟอร์เมอร์ทั้งหมดครับ โดยจะขอเริ่มที่ “ประวัติความเป็นมา”ของซีรี่ยส์นี้ว่ามีที่มายังไงครับ
หลายๆคนติดภาพลักษณ์ของTransformers ที่สร้างโดย ไมเคิล เบย์ มากกว่าตัวอนิเม แอดมินจึงขอพาไปทำความรู้จักกับเวอร์ชั่นอนิเมทั้งหมดครับ
ถ้าพูดถึง Transformers แล้ว ทุกคน จะนึกถึงหนังฟอร์มยักษ์ที่ “ไมเคิล เบย์” นั่งแท่นผู้อำนวยการสร้าง แต่ถ้าคนมีอายุหน่อย ก็จะนึกถึงหนังการตูนสุดมันส์ (และ “สุดมึน” กับเนื้อหาที่ไม่เป็นเหตุและผล แถมมั่วได้ใจ)
แต่จะมีซักกี่คนกัน ที่รู้ว่า จริงๆแล้ว “Transformers” มีต้นกำเนิดแนวคิดจากของเล่น ที่Import จากแดนอาทิตย์อุทัย!!
เฮนชิน ไซบอร์ก ตุ๊กตาขนาด 12 นิ้ว ที่เป็นตัวจุดประกายของการสร้างเหล่า Transformer
Born to be … just a Toys!!
Microman (ไมโครแมน) เป็นของเล่นสร้างชื่อให้กับบริษัท “Takara” (ปัจจุบันเป็น Takara Tomy) เริ่มไลน์การผลิตตั้งแต่ปี 1980 ครับ โดยสินค้าตัวแรกสุด คือซีรี่ยส์ “เฮนชิน ไซบอร์ก” เป็นหุ่นยนต์ขนาด 12 นิ้ว ตัวใสๆ (มีชิ้นส่วนชุบโครเมี่ยมแวววาวด้วยนะ) ที่เปลี่ยนชุดเป็นฮีโร่จากเรื่องต่างๆได้ในยุคนั้น (ซึ่งก็มีที่มาจากของเล่นอเมริกาอย่าง GI Joe อีกทีนึง) ปัจจุบัน ก็ยังมีผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า “ไมโครแมน” (แบบเงียบๆ เพราะไม่ค่อยมีออกมาบ่อยนัก) และถัดมา ก็เริ่มมีการสร้างไลน์หุ่นยนต์จิ๋วแปลงร่างได้ที่มีชื่อว่า “Diaclone”
“ไมโครแมน” ในยุคปัจจุบันที่ดูทันสมัย แถมยังมีลูกเล่นคือ ข้อต่อแม่เหล็ก “ที่โคตรทนมือทนเท้า”
พันช์โรโบ ไดอาโคลนยุคแรกๆ ที่มีลูกเล่นในการยิงหมัดจรวด เปลี่ยนเป็นยานรบ และเอาเหล่าเฮนชินไซบอร์ก ไปนั่งเล่นได้
มาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนสงสัยว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเหล่าหุ่นยักษ์พิทักษ์จักรวาลTransformers ล่ะ!?” ….คือ แอดมินกำลังจะบอกว่า ของเล่นจากญี่ปุ่นรายนี้นี่แหละ ที่เป็น “ต้นกำเนิดแนวคิดของหุ่น Transformers” เพราะเรื่องราวมันเริ่มต่อจากนี้ครับ…
เมื่อปี 1983 บ. Takara ได้แตกไลน์ ผลิตหุ่นยนต์ของเล่นชุด “Microchange” ขึ้นมาครับ ที่จำลองข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในเสกลจริง อย่างวิทยุเทป กล้องถ่ายรูป ปืน บลาๆๆๆๆๆแล้วกลายร่างเป็นหุ่นยนต์ได้ ในสมัยนั้น ใครมีเล่นนี่ ถือว่า เท่มากๆครับ…
บรรพบุรุษของเหล่าทรานส์ฟอรเมอรส์ โดยแท้จริง หน้าตาก็คุ้นๆด้วย…ไอ้หมอนี่แหละ Soundwave หุ่นฝ่ายดีเซปท์ติค่อนในอนาคตล่ะ!!
และในปีเดียวกันนั้นเอง ที่ญี่ปุ่น ก็มีการจัดงานนิทรรศการของเล่นนานาชาติ หรือ Tokyo Toy Fair 1983 ที่โตเกียว แล้วประจวบเหมาะกับนาย “เมนรี่ โอเรนสไตน์” ฝ่ายพัฒนาสินค้าจาก บริษัท Hasbro (ผู้เป็นเจ้าของสิทธ์ในตัวทรานสฟอร์เมอร์มาโดยตลอดในปัจจุบัน) ได้ได้มาเดินเล่นในงาน แล้วก็จ๊ะเอ๋เข้ากับ “เหล่าหุ่นยนต์ของเล่นที่แปลงร่าง”ได้
ถึงทาง Hasbro จะเริ่มแผนการสร้าง ทรานสฟอร์เมอรส์แล้ว แต่ ไดอะโคลน ของ Takara ก็ยังผลิตอยู่
นายเมนรี่ จึงรีบหอบเอาไอเดียนี้ไส่งให้ฝ่ายวิจัย และออกแบบของเล่นของ Hasbro และริเริ่มโปรเจคท์ Transformer โดยการไปติดต่อขอซื้อสิทธิ์จากทางญี่ปุ่นมาพัฒนาต่อ…
งานนี้ Marvel มีเอี่ยว!!
การทำสินค้าซักชิ้น จำเป็นต้องมีสื่ออยู่ในมือ…และวงการของเล่นของสะสมในอเมริกา ก็ไม่อาจหนีพ้นสัจธรรมข้อนี้ไปได้ และ Hasbro เลือก Marvel Comic ที่กำลังเขียนการ์ตูนเรื่อง “GI Joe : A Real American Hero” ซึ่งก็เป็นของเล่นจาก Hasbro มาแล้วก่อนหน้านี้…
ยุคนึงสมัยนึง เหล่านักรบ GI Joe ก็มา Featuring กับพวกมนุษย์เหล็กเหล่านี้บ่อยๆ เพื่อปั่นกระแส ดังนั้น ตัวละครหลายๆตัวจากหน่วยโจ จะมาป๊ะกับ Transformers ก็อย่าตกใจไปครับ
นอกจากจะ “งอกของเล่นไลน์ใหม่” แล้วยังจะ “งอกหนังสือการ์ตูนหัวใหม่” อีกด้วย งานนี้ คนรับหน้าเสื่อจากทางHasbro ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากนาย “จิม ชูทเธอร์” คนที่คออเมริกันฮีโร่ ต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็น “หัวหน้ากองบรรณาธิการของทาง Marvel ที่ได้รับงานนี้มาทำ
บก.จิม จึงต้องคิดพล๊อตเรื่อง และหานักเขียนมาวาดให้ โดยตอนนั้น บก.จิม แกคิดพล๊อตว่า “เป็นการต่อสู้ของหุ่นยนต์ฝ่ายธรรมะ และ ฝ่ายอธรรม” จึงเป็นที่มาของ Autobots และ Decepticon นั่นเอง…
นี่แหละ หน้าตาของหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Transformers” เล่มแรก…
ตอนแรกสุด บก.จิม แกให้นักเขียนการ์ตูนเจ้าประจำอย่าง “บ๊อบ บูเดียนสกี้” ผู้วาด “Ghost Rider” ในตอนนั้น มารับหน้าที่วาดการ์ตูนเรื่องนี้ แถมยังได้เข้ามาแก้ไขประวัติ ปูมิหลัง ความเป็นมา รวมไปถึงงานดีไซน์เพิ่มเติม ของ “เดนนิส โอ’นีล” ที่ได้รับงานจากบก.จิมมาก่อนหน้านี้ แต่ทางHasbroไม่ปลื้ม ต่างจากงานของ บ๊อบ ที่ทำออกมาถูกใจนายทุนอย่าง Hasbro เอามากๆและก็ประสปความสำเร็จอย่างล้นหลามกันเลยทีเดียว เพราะมี “การ์ตูนออกรายสองเดือน” และทำให้ Hasbro มุ่งหน้าสู่เป้าหมายใหม่…การทำอนิเมชั่น!!
โฉมหน้าของ สองผู้ให้กำเนิดซีรี่ยส์หุ่นกระป๋องถล่มโลก จิม ชูทเธอร์ และ บ๊อบ บูเดียนสกี้
อนิเมที่มีพล๊อตมั่วซั่วแห่งยุค ’80
แม้หนังสือการ์ตูนจะมียอดขายที่ดี มีการสั่งผลิตของเล่นหุ่นเหล็กต่างดาวเพิ่มขึ้น แต่ในตัวอนิเมชั่น กลับเต็มไปด้วยเสียงก่นด่ากันขรม เพราะความ “มั่ว” และ “ขัดแย้งกันเองของข้อมูล” ที่ทำออกมาเพื่อให้สนองต่องานออกแบบของเล่นที่จะวางขายมากกว่า เนื้อหาที่ควรจะเป็น…
Optimus Prime TV Ver. ที่หลายๆคนเกิดทันดู (แอดมินไม่เค๊ย ไม่เคยเห็นนะ…)
ในปี 1983 บ.Toei เจ้าของผลงานเหล่าหนังแปลงร่าง ไอ้มดแดง ขบวนการ5สี และ อนิเมชั่นดังๆอย่างดราก้อนบอล วันพีซ เซนต์เซย่า ก็เป้นคนลงมือ สร้างอนิเมชั่นชุดนี้ ตามบัญชาจาก Hasbro ทุกกระเบียดนิ้วในตอนนั้น…แต่ก็ยังไม่วายโดนแก้ในส่วนของดีไซน์หุ่นยนต์ โดยได้ “โชเฮย์ โคฮาระ” เป็นผู้ “รื้อ”แบบหุ่น ลดรายละเอียดลง เพื่อให้ทำเป็นอนิเมได้ ซึ่งต่อมาก็ได้ “ฟลอโร เดอร์รี่ย์” มารับช่วงงานของโคเฮย์อีกทีนึง
ภาพจากอนิเมยุค80 ฝีมือโตะเอะ อย่าหวังว่าสเกลจะเป๊ะ เพราะวาดด้วยมือ ไม่ได้ใช้ CG ถถถ+
Transformers เป็นอนิเมชั่นเพียง3ตอนจบในสมัยนั้น และได้บันทึกสถิติไว้ว่า “มีจำนวนการฉายซ้ำๆวนไปๆมาๆ ในหน้าจอทีวีบ่อยที่สุดเรื่องนึ่ง พอๆกับ StarTrek” ในอเมริกาครับ แต่อนิจจา ถึงจะฉายซ้ำๆซากๆแค่ไหน ก็ยังไม่ได้รับความนิยมอยู่ดี (แต่ของเล่น และหนังสือการ์ตูนกลับขายดีเหมือนเททิ้ง!!)
“มากกว่าการพบหน้ากัน” (More Than Meet The Eyes) เป็นสโลแกนที่กิ๊บเก๋ หวังจะเรียกคนดู แต่กลับทำให้คนดูเวียนหัวกับพล๊อตที่ “งง” โคตรๆ
Hasbro จึงขอถอยทัพ และคุยกับทาง Toei อีกทีนึง…จนในที่สุด ซีรี่ยส์สงครามหุ่นเหล็กก็กลับมา ภายใต้สโลแกนเก๋ๆว่า “More Than Meet the Eye” ที่ถูกสร้างเพิ่มขึ้นมาอีก 13ตอน และมัดเข่งกับ 3ตอนที่แป้กก่อนหน้านี้ เป็น 16 ตอน… และเป็น “16ตอนที่สร้างความลำบากใจให้กับทางรายการทีวี” ที่มีสถานีกระจายไปตามรัฐต่างๆในอเมริกา เพราะวัฒนธรรมการฉายการ์ตูนของทางอเมริกา คือการนั่งดูให้จบเป็นตอนๆ สั้นๆ มากกว่าการผูกเรื่องยาวๆสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่น จึงถือว่า “กลับมาล้มเหลวอีกครั้ง” เพราะไม่เข้าใจวัฒนธรรมกาเสพสื่อของประเทศตัวเอง…ซะงั้นน่ะ!!
“ Autobots , Roll Out !!” โค้ดคำสั่งของป๋าออฟติมัส ที่สั่งให้พรรคพวกแปลงร่างแล้วออกรบ!!
นี่คือวิบากกรรมของอนิเมชุด Transformers ซีซั่นแรกเท่านั้นครับ…และ ในปี 1985 ซีซั่นสองก็เริ่มออกฉาย ซีซั่นนี้ ได้รับการปรับบทให้จบในตอนไป เพื่อการฉายในทีวีท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น จะเอาตอนไหนมาฉายก่อนก็ได้เรทติ้งคนดูเยอะขึ้น มากกว่าสมัยฉาย3ตอนแรกเกือบเท่าตัว ทำให้สถานีโทรทัศน์ในรัฐต่างๆ พากันแฮปปี้สุดๆ
แต่ทว่า Hasbro ก็ได้ปัญหาใหม่ของซีรี่ยส์นี้ตามมา จากการเร่งทำยอดขายของเล่นใหม่ๆ ทำให้ขาดการปูเนื้อเรื่อง และพื้นฐานของ Timeline ในเรื่อง พูดง่ายๆก็คือ “ความต่อเนื่อง และเหตุผลบางอย่างที่ไม่สอดคล้อง และชวนงงสุดๆ” นั่นเองครับ…
ความงงของเนื้อหา เท่าที่แอดมินได้ไปหาข้อมูลมาก็พอจะยกตัวอย่างได้ซักเรื่องสองเรื่องที่ชัดเจนที่สุดก็แล้วกัน
เหล่าคอนทรัคติค่อน ที่มีที่มาไม่ชัดเจน เล่าสามครั้ง ก็ไม่เหมือนกันซักครั้ง
ในซีซั่นที่ 1 ตัวละคร “คอนสทรัคติค่อน” [Constructicon = ไอ้แก๊งหุ่นรถก่อสร้าง ที่ปีนปิรามิดในตอนท้ายๆของหนังภาค Revenge of Fallen น่ะ] มีฉากที่ทำให้คนดูเข้าใจว่า “เมกกะตรอน” [Megatron] เป็นคนสร้างมันขึ้นมา…แต่พอขึ้นมาในซีซั่น2 ตัวซีร่ยส์กลับบอกว่า คอนทรัคติค่อน มีมาก่อนหน้าแล้ว แถมเป็นหุ่นยนต์ฝ่ายออโต้บอท แต่ถูกเมกกะทรอนล้างสมองมาเป็นพวก แต่ซีซั่น 3 กลายเป็น ว่า คอนทรัคติค่อน เป็นผู้สร้างเมกะทรอนออกมาเองกับมือ!?
แมททริกซ์แห่งจิตพลังผู้นำ อุปกรณ์ที่เป็น Keyword ของเรื่อง ก็ชวนสับสน
หรือเรื่องราวของ Mattrix of the Leadership หรือ แมททริกซ์แห่งจิตพลังผู้นำ เป็นสิ่งที่สามารถชุบชีวิต หุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์มเมอร์สทุกตัวที่สิ้นชีพ ให้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ในหนังสือการ์ตูนบอกว่า พริมอนส์ [Pimons] สิ่งมีชีวิตต้นกำเนิดของเหล่าจักรกลบนดาวไซเบอร์ตรอน ได้สร้างเครื่องรางนี้ และได้ส่งมอบให้ “เซนติเนล ไพรม์” และก่อนที่เซนติเนลจะตาย ได้มอบให้ หุ่นคนงานในอู่ต่อเรือในดาวไซเบอร์ตรอนที่ชื่อ “โอไรออน แพกซ์” และกลายเป็น “ออพติมัสไพรม์” ที่เราๆรู้จักกัน…
แต่ในอนิเมซีซั่นที่สอง กลับบอกว่า Mattrix of the Leadership เป็นของที่ “โนว่า ไพรม์” หุ่นยนต์ผู้นำออโต้บอทรุ่นแรก ได้สร้างมันขึ้นมา แล้ว เซนติเนล ไพรม์ ไปเจอมันในห้วงอวกาศและได้ส่งต่อให้ออพติมัสในเวลาต่อมาซะงั้นน่ะ!?
เจ๊ทไฟร์ ตัวละครที่ทางHasbro ไปแฮ้บมาจาก Takara ที่ตอนนั้น รับเหมาในการทำโมเดลจากมาครอส และเป็นคดีความที่ยังไม่จบ ดังนั้น ในหนังของไมเคิล เบย์ จะเห็นเจ๊ทไฟร์เป็น “เครื่องบินเหลาเหย่ เพี้ยนๆแก่ๆ”แทน…
หรือเรื่องราวที่มาของ “เจ๊ทไฟร์” [Jetfire] เหล่า Seeker (ผู้ค้นหา นักสำรวจในตำนาน) ได้เคยมายังโลกกับ “สตาร์สครีม” แล้วพลาดท่า ถูกแช่แข็งเป็นไอติมค้างศตวรรษ ก่อนที่เหล่าออโต้บอท และ ดีเซปท์ติค่อน จะทำสงครามกัน ซึ่งแน่นอนว่า มาในรูปร่างของเครื่องบินใบพัดยุคโบราณ…
แต่ทว่า ในช่วงกลางๆของอนิเมซีซั่นแรก ตัวหนังกลับอธิบายว่า เดิมทีชาวไซเบอร์ตรอนไม่สามารถใช้การสแกนยานพาหนะบนโลกได้ ต้องให้ “ยานอวกาศอารค์” (ยานแม่ที่เหล่าทราสฟอร์เมอร์ใชเดินทางมายังโลก) ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมุล และทำการฉายแสงไปยังเหล่าหุ่นชาวไซเบอร์ตรอนซะก่อน จึงจะแปลงร่างเป้นยานพาหนะต่างๆได้
ยานอาร์ค บ้านของเหล่าออโต้บอทส์ในโลกมนุษย์
นอกจากนี้ ในซีรียส์ ยังมี “จุดขัดกันเอง”อีกหลายจุด แต่จำได้บ้างไม่ได้บ้างแล้ว แต่โดยรวม ก็สร้างควมมึนงง แก่ผู้ชมไม่น้อยในช่วงเวลานั้นๆครับ…แต่ถึงอย่างนั้น Hasbro ก็ได้แคร์สื่อไม่ กลับออกของเล่น และไล่เชือดตัวละครบางตัวไปแบบ “ไม่เนียน” เพื่อโปรโมทของเล่นที่กำลังขายดี และก้าวต่อไปของ Hasbro ก็เริ่มคิดจะตีตลาดฝั่งเอเชีย โดยเป้าหมายแรก คือประเทศผู้ให้กำเนิดการ์ตูนหุ่นยนต์…ประเทศญี่ปุ่น!!
กลับบ้านเก่า…แดนอาทิตย์อุทัย!!
“ทะทะคาเอะ! โช โรบอทโตะ เซย์เมไท โทรันซุโฟม่า” (ลุยเลย! ยอดจักรกลมีชีวิต ทรานส์ฟอร์เมอร์) คือชื่อที่ใช้ในเวอร์ชั่นลุยแดนปลาดิบของเหล่าออโต้บอทส์ครับ และตัวของออฟติมัส ชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า “คอนวอย”
อย่างที่แอดมินเล่าไปในตอนต้นครับ ว่า เหล่า Transformers จะถือสัญชาติอเมริกัน แต่เนื้อแท้ และจิตวิญญาณนั้น เป็น “ลูกครึ่งการ์ตูนญี่ปุ่น” (แค่สร้างโดย Toei ก็ถือเป็นการตูนญี่ปุ่นไปค่อนเรื่องแล้ว..)
เลือกเพื่อนร่วมงานผิด ก็ติดดราม่ากันข้ามทศวรรษกันเลยทีเดียว!!
การตีตลาดฝั่งญี่ปุ่นของเหล่าออโต้บอท และ ดีเซปติค่อน ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเลือกบริษัทคุยงานผิด! เพราะแทนที่จะเลือกร่วมงานกับบริษัทต้นความคิดอย่าง Takara แต่ทาง Hasbro กลับไปใช้บริการการขายจากบริษัท “บันได” คู่แข่งตัวเอ้ของ Takara ซะอย่างนั้น จนมีเรื่องราวดราม่าการฟ้องร้องกันอุตลุต (แอดมินไมแน่ใจครับ ว่าส่วนคดีความจบรึยัง แต่ปัจจุบัน ของเล่นทรานสฟอร์เมอร์ ก็ถูกบ.Takara Tomy เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว)
ภาพสีของโปสเตอร์สุดคลาสสิค เป็นใบปิดโฆษณาของทางอเมริกาครับ…
ในปี 1987 เป็นปีที่ สงครามหุ่นเหล็กฉบับ จอทีวี ได้ยุติการสร้างแล้วในอเมริกา เนื่องจากคนเริ่มๆเบื่อกับแนวทางของ “ของเล่นสไตล์นี้”แล้ว แต่ในทางกลับกัน ทรานส์ฟอร์เมอร์เอง กลับไปเด่นดังในแดนอาทิตย์อุทัยซะอย่างนั้น เพราะ ก่อนหน้านี้ ปี1985 ที่ทางโตเอะ ได้ซื้อสิทธิ์มาฉายในญี่ปุ่น ในชื่อ “Tatakae! Cho Robotto Seimeitai Transformer” (ลุยเลย! ยอดจักกลมีชีวิต ทรานส์ฟอร์เมอร์)
และหลังจากนั้น ก็มีการสร้างภาคต่อที่เป็นอนิเมแบบญี่ปุ่นแท้ๆ โดยToei อีก 4ภาค ได้แก่
“The Headmaster” (1987-1988)
“Chojin Masterforce” (1988-1989)
“Transformers Victory” (1989-1990)
“Transformers Zone” (1990)
โดยภาคZone นั้ อาภัพสุดๆ ไม่มีแม้โอกาสฉายทางทีวี แถมยังถูกตัด “เหลือ 3ตอนจบ” จากกำหนดการฉาย “50ตอน” ทำให้ภาคนี้ ล่มไม่เป้นท่า… ปิดตำนานทรานสฟอร์เมอร์ยุคแรกในปริยาย…
ยุคของการกู้ชื่อเสีย ให้กลับมา…
แต่กว่าจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งก็โน่นเลยครับ ในปี 1996-1999 ที่อเมริกา มีการฉาย Beast Wars ที่ทำออกมา “กู้หน้า” บรรดาภาคก่อนๆที่ทำออกมา “เละตุ้มเป๊ะ” โดยภาคนี้แตกต่างจากภาคก่อนๆเยอะเลยครับ เพราะเป็นการใช้เทคนิค CG ทั้งเรื่อง!! ที่เป้นเทคโนโลยียุคใหม่ล่าสุดในสมัยนั้น
เคยออกอากาศช่อง7สี วันอาทิตย์ด้วยนะ สนุก สุดยอดมากๆ แอดมินต้องตื่นมาดู และมีประโยคเด็ดๆ อย่าง “ออฟติมัส ไพรมัล ขยายร่างเป็นหุ่นยนต์!!” ซึ่งในสมัยนั้น เด็กๆจะเรียกว่า “ออปติปุ๊ด!”มากกว่า 555
ด้วยการเดินเรื่องที่มีการพลิกผันตลอดเวลา มีการย้ายพรรค เปลี่ยนฝ่ายบ่อยๆนั่นเอง ที่ให้สงครามแย่งชิงโลกล้านปีในบิสท์วอร์ ได้รับความนิยมมาก (ถึงขั้นออกเป็นเกมลง Ps1 และเกมบอยขาวดำเลยล่ะ)
Beast Machine ภาคที่ผู้ชมก่นด่ามากที่สุด เพราะไปทำลายความเชื่อเดิมๆของผู้ชมที่ประทับใจจาก Beast Wars ซะอย่างนั้น
อนิจจา ซีรี่ยส์นี้ดันมาตกม้าตายอีกรอบ กับ Beast Machine (1999-2001) ที่มีเนื่อหาหักล้างสิ่งดีๆที่ Beast Wars เคยทำเอาไว้ ยิ่งบอกกับคนดูว่า “แต่เดิม ดาวไซเบอร์ทรอน เป็นดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ถูกเหล่าเครื่องจักรไม่มีที่มายึดครองไป!? ออพติมัสต้องอยู่ในร่างสัตว์ผสมจักกล ต่อสู้กับเมกกะทรอน” เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดเสียงก่นด่าสาปแช่งทีมสร้างแล้วล่ะครับ เพราะเล่นหักล้างข้อมุลที่คนดูรู้มาทั้งหมดนั่นเอง…
กลับมาใช้แนวทางของอนิเมญี่ปุ่นอีกครั้ง ฉากต่อสู้ที่สนุกตื่นเต้น กับ “Transformers : Robot in Disguise” ภาคนี้รวมร่างกันมันส์มากๆ ใช้หุ่นในการรวมร่างเยอะจนลายตา และ ก็สืบทอดสิ่งนี้ไปยังภาคต่อไป…
ในทางกลับกัน ของVer.แดนปลาดิบ ที่ส่งมาตีตลาดกลับในอเมริกา ด้วย Transformers : Robot in Disguise (2001-2002) ทีทำออกมาได้สนุกกว่า สมจริงและหนักแน่นฉับไวสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่น แม้ฉากต่อสู้จะดรอปลงไปเยอะ เนื่องจาอเมริกาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ 911 ไป โดยเนื้อหาก็กลับไปเป็นออพติมัส ไพรม์ ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุก สู้กับเหล่า “พรีเดคอน” สัตว์อสูรจักรกล ตัวร้ายจาก Beast Wars นั่นเอง (??)
“Transformers Galaxy Force” (หรือชื่อ ver.US คือ Transformers Cybertron) เป็นภาคที่แอดมินชอบมากๆ เพราะตัวละคร “กาแล็กซี่ คอนวอย” (ออฟติมัส ไพรม์น่ะแหละ) ได้รับการออกแบบที่เท่มากๆ แถมมีระบบรวมร่าง ที่ออกแนว “หุ่นผู้กล้ากาโอไกก้าร์” ไปแล้วในช่วงท้ายๆเรื่อง… อ้อ! เรื่องนี้ LC โดย “ไรท์ บิยอนด์” ครับ!!
และการมาของงานจาก บ.Gonzo ทีมสร้าง CG ที่ดังมากในเรื่องของ “งานเผา” (ไม่คงคุณภาพของอนิเม ที่คนดูอนิเมได้ยินแค่ชื่อ “กอนโซ” ต้องขยาดไปเลยในยุคนั้น ผลงานสุดเละเทะ ก็หุ่นเหล็ก Gravion นั่นแหละ!!)
ยูนิครอน จักรกลเอเลียนขนาดเท่าดวงดาว ผู้กระหายสงคราม หวังจะทำลายทุกมิติที่มันไป เพือความเป้นหนึ่งในใต้หล้า??
Gonzo ได้ส่ง “Unicorn Trilogy” มหากาพย์ยูนิครอน หุ่นจักรกลเอเลี่ยน ขนาดเท่าดวงดาว (นึกไม่ออก ก็นึกถึง ดวงจันทร์ ที่กลายร่างเป็นหุ่นยนต์ได้ แต่ขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ 3เท่า!!)ที่หมายจะยึดครองจักรวาลด้วยตัวคนเดียว ทำให้เหล่าออโต้บอท และ ดีเซปท์ติค่อน ต้องสงบศึกชั่วคราว เพื่อรวมพลังกัน ต่อสู้กับยูนิครอนนั่นเอง
มหากาพย์ไตรภาคยูนิครอน ที่มีเนื้อหาอ้างอิงกันเท่านั้น ไม่ได้เชื่อมต่อกันโดยตรง แต่ดูสนุกไม่แพ้กัน!!
มหากาพย์ชุดนี้ แอดมินว่า Success มากๆเลยครับ เพราะด้วยงานดีไซน์ที่ดู “ดุดัน” ของเหล่าจักรกลแบรนด์เนมทั้งหลาย และแอคชั่นที่ “มันส์ระดับ SuperRobot จากญี่ปุ่น” (เตะต่อยกันยับ ยังกะดู G Gundam ประมาณนั้นเลย!!) จึงทำให้ซีรี่ยส์นี้ ขายของเล่นได้ยาวๆเลยครับ
ไมเคิล เบย์ Effect !!
น้าเบย์ของพวกเรา ก็ยังจะทำหนังภาคต่อของทรานส์ฟอร์เมอร์ออกมาได้เรื่อยๆ…
หลังจากที่หนังเรื่อง Transformer ฝีมือของ “ฉลอง ภักดีวิจิตร” เอ้ย “ไมเคิล เบย์” นักวางระเบิดเขาเผากระท่อมแห่งฮอลลีวู้ด ทำรายได้มหาศาลทั่วโลก Hasbro ไม่รอช้า รีบตักตวงกระแสเพื่อออกของเล่นชุดใหม่ๆออกมา ก็มีอนิเมออกมา 2 ชุด จนถึงปัจจุบันครับ ได้แก่
“Transformers : Animated” ที่ออกฉายในปี 2008 ทางช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ลายเส้นที่ดูเรียบง่าย มุกตลกเข้าใจง่ายๆ เหมาะกับเด็ก ๆ จนกลายเป็นจุดขายของเรื่องไปเลย และฉากต่อสู้ที่ทำออกมา “สุดติ่งกระดิ่งแมว” จริงๆครับ
และญี่ปุ่น ก็ซื้อสิทธิ์ไปฉาย โดยใช้ชื่อว่า “Transformer : EVO” เพลงเปิดเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ได้ Jam Project นักร้องเพลงประกอบซีรี่ยส์ Superrobot Wars มาร้องเพลงให้ ทำให้หลายๆคน ถูกใจมากๆ (อย่างน้อย แอดมินก็คนนึงล่ะนะ)
ต่อมาก็ได้มีการสร้างหนังทีวีซีรี่ยส์ชุด“Transformers : Prime” ในปี 2011 เป้นอนิเมที่ดูสนุก แต่จะมีมุมเครียดๆ กดดันด้วยสถาณการณ์ ด้วยความที่ตัวหนัง กลับไปใช้สเกลของเดิม ที่อ้างอิงจากหนังของไมเคิล เบย์ กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะความเครียดของตัวหนังนี่แหละ..(LC โดย Tiga ครับ)
แต่Hasbro ไม่ยอมแพ้ เข็นซีซั่นที่สองออกมา โดยใช้ชื่อว่า “Transformers : Prime – Beast Hunter” ที่เอาแนวคิด Beast Wars กลับมาอีกครั้ง ผสานกับเทคนิคCG ในปัจจุบัน ทำให้ซีรี่ยส์นี้ กลายเป็น “มอนฮัน ออโต้บอท” ไปโดยปริยาย (5555) เพราะมีการล่าเอามอนสเตอร์จักรกลมาใช้ใน Theme เรื่องซะอย่างนั้น…
ไม่ต้องห่วงครับ จักรกลทั้งสองฝ่ายนี้ คงจะสู้กันไปเรื่อยๆ จนกว่าบ.Hasbro จะเจ๊งกันไปเลย ดังนั้น ยังมีหนัง และอนเมภาคต่อให้ได้ดูกันตลอด…
นี่คือเรื่องราวที่มาของการสร้าง “Transformers” จากของเล่น สู่มหากาพย์จักรกลถล่มจักรวาล
ไว้บทความหน้า แอดมินจะมาแนะนำตัวละครเด่นๆ ที่โผล่มาบ่อยๆในซีรียส์ต่างๆในจักรวาล Transformers จะมีตัวไหนบ้าง แต่ละตัวมีที่มาและเสนห์ที่น่าจดจำแค่ไหน รออ่านในบทความหน้านะครับ !!
By Admin Ak Fourtyseven
-
BEYBLADE X : 10 ตัวน่าซื้อ ของมันต้องมีในปี 2024
#beybladex #kctoysbeybladex #beybladexthailand
-
KARATE KID: LEGENDS [เรื่องย่อ / ตัวอย่าง / หนังใหม่ /2025]
#KarateKidMovie #KarateKi #เฉินหลง #JackieChan
-
20 ตัวละครจากเกมยอดนิยมที่ถูกค้นหามากที่สุดในเวปไซต์สำหรับผู้ใหญ่ 2024
#Ranking #website #Games #PC #Console