เพื่อความเข้าใจ กรุณาย้อนกลับไปอ่าน Part 1 , Part 2 Part 3
ยุคแห่งการรวมเผ่าZAC 1957-1978
ทวีปกลางที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้กลายมาเป็นประเทศเอกภาพแห่งแรกในประวัติศาสตร์ โดยมีวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ หลอมรวมกันจนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ และเมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น ยุคของการผลิตและอุตสาหกรรมก็มาถึง
โรงงานขนาดใหญ่ค่อยๆเกิดขึ้นเพื่อผลิตสินค้าต่างๆออกไปทั่วทั้งทวีป และ Zoidsเองก็เช่นกัน พวกมันถูกรวมอยู่ในระบบอุตสาหกรรมที่ถูกผลิตจำนวนมาก และยุคสมัยที่ Zoids ถูกซื้อขายเป็นสินค้าก็เริ่มขึ้น
Zoids ที่ถูกขายเป็นสินค้าโรงงานพวกนี้ถูกเรียกว่า “Mechabonica” เพื่อแยกออกจาก Zoids ป่าอย่างชัดเจน ซึ่งในภายหลังได้มีการคัดค้านเรื่องการมอง Zoids เป็นแค่สิ่งของ ทำให้พวกเขากลับไปใช้ชื่อเรียกว่า Zoids ดังเดิม พร้อมกับทำการสั่งห้ามการนำ “Zoids ป่า” ไปใช้ในการสงครามอีกด้วย
การจัดการ Zoid และสิ่งอำนวยความสะดวก
เมื่อทั้งทวีปรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ชาว Zoidians ก็ต้องการระบบการจัดการที่มากขึ้น จึงได้ก่อตั้ง “สำนักงานบริหาร Zoid” (Zoid Administration Bureau) ในการจัดการดูแลเทคโนโลยีการสร้าง การเปลี่ยนแปลง เหล่า Zoids ที่เผ่าต่างๆได้เลี้ยงดูขึ้นมาอย่างเฉพาะตัว
ทั้งนี้พวกเขาก็ยังคงผลิตและปรับเปลี่ยนอาวุธให้กับ Zoids ในการปกป้องดินแดนจากศัตรูต่างแดนในอนาคต ควบคู่ไปกับการผลิต Zoids ที่ใช้ในอุตสาหกรรมในครัวเรือนของประชาชนไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เหล่า Zoids จึงมีฟังก์ชั่นต่างๆที่ช่วยในการสนับสนุนการใช้ชีวิตของชาว Zoidians มากขึ้น ทำให้เกิดสถานประกอบการสำหรับซ่อมแซม ปรับปรุงขึ้นตามชุมชน ซึ่งสถานที่เหล่านี้ก็ได้รับชื่อเล่นว่า “ร้านซ่อม” หนึ่งในกิจการที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยนั้น
การค้นพบ Zoids ประเภทไดโนเสาร์
ณ ดินแดนที่ไม่เคยถูกสำรวจของชนเผ่าเทพ สถานที่ซึ่งแม้แต่ช่วงเวลาที่เกิดสงครามแห่งความขัดแย้ง มันก็ยังถูกปล่อยให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่าบนแผนที่ไว้เช่นนั้น
สถานที่อันศักดิ์สิทธินี้เอง ที่เป็นแหล่งอาศัยของเหล่า Zoids สายพันธุ์ไดโนเสาร์ที่น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ภายในถ้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิสูงของอ่างเก็บลาวา ใต้หุบเขาอันซับซ้อน ความลับทั้งหมดนั้นได้ถูกไขกระจ่างเมื่อเจ้าหน้าที่ของสำนักบริหาร Zoids ได้เข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่นี้แห่งนี้
การค้นพบนี้ได้กลายเป็นหัวข้อวิจัยที่มีค่าอย่างที่สุดในทางชีววิทยา และมันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก ที่พวกเขาพยายามนำ Zoids โบราณเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขาได้สำเร็จ โดยจากขนาดที่ใหญ่และนิสัยที่ก้าวร้าวโดยธรรมชาติ จึงมักจะเห็นพวกมันถูกใช้ในการต่อสู้เป็นหลักเสียมากกว่า
การขยายตัวของร่างกายและ Zoid Core ของเหล่า Zoids
ในประวัติศาสตร์การพัฒนาของ Zoids จะสามารถแบ่งออกกว้างๆได้เป็น 4ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก คือระยะที่ Zoids ยังสามารถที่จะสืบพันธุ์และทำการเลี้ยงแบบสัตว์ได้
ขั้นตอนสอง คือระยะเริ่มต้นของการ “Cyborgisation” หรือการติดตั้งอวัยวะเทียมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่างๆเช่น แขนขาเทียม ในการเพิ่มความคล่องตัว
ขั้นตอนสาม คือระยะที่เรียกว่า “Machine Beasts” ซึ่งอวัยวะส่วนใหญ่นอกจาก Zoid Core จะถูกแทนที่ด้วยอวัยวะเทียม
Zoid Core ซึ่งเป็นแก่นชีวิตของ Zoid นั้นขยายใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นในช่วงเวลาการพัฒนาจากทั้ง 3ขั้นตอนเหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีที่มีความเฉพาะตัวสูง และความสำเร็จทาง “เทคโนโลยีชีวภาพ” ที่สั่งสมความรู้สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ
ทำให้ใน ขั้นตอนที่สี่ Zoids ก็ได้รับรูปแบบในปัจจุบันที่พวกเราคุ้นตาในฐานะของ “สัตว์จักรกลขนาดยักษ์” ที่ผ่านการพัฒนาด้านหุ่นยนต์ในการเก็บหน่วยพลังงานที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงการรองรับน้ำหนักบรรทุกที่มากขึ้นเช่นกัน(Carrying Capacities)
ส่วนประกอบประดิษฐ์และมาตรฐานแบบครบวงจร
หลังการรวมตัวของทวีปกลาง สำนักงานบริหาร Zoid ได้พยายามเสริมสร้างและกระจาย Zoids อย่างกว้างขวางเพื่อพัฒนาชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการที่ Zoids มีรูปร่าง ขนาด และหน้าที่ ที่หลากหลาย ดังนั้นการออกแบบและผลิต “ระบบควบคุม” แบบเฉพาะทางสำหรับแต่ละสายพันธุ์ จึงไม่มีประสิทธิภาพพอ(ในการเข้าถึงผู้คน)
ดังนั้นแนวคิดของการผลิต “ห้องนักบินทั่วไป” ซึ่งเป็นระบบควบคุมที่ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับ Zoids ได้ทุกสายพันธุ์ โดยมันจะช่วยให้ผู้ขับสามารถขับ Zoid ตัวใดก็ได้ด้วยวิธีการควบคุมเดียวกัน(หรือใกล้เคียงกัน) ทำให้ขั้นตอนฝึกฝนการบังคับ Zoids ที่ยุ่งยากหลายเดือนกลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว และด้วยการที่มันเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในแง่ของการผลิต, บำรุงรักษา ตลอดจนเข้าถึงผู้คนได้ง่าย มันจึงเป็นสิ่งที่แพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
การควบคุมและการขยายความดุร้าย
ยุคสมัยที่ร่างกายส่วนใหญ่ของ Zoids ถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วน ไซเบอร์เนติกส์ (Cybernetic Parts) นี้ ในขณะเดียวกันตัวแปรที่ว่า Zoid จะตอบสนองต่อคำสั่งที่ส่งมาจาก Zoid Core ที่เป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวว่า “จะว่องไวได้เพียงใด”นั้น มันตกเป็นหน้าที่สำคัญของ “แขนขาเทียม”
โดยเฉพาะการที่มันจะสามารถสะท้อนถึงสัญชาตญานการเอาชีวิตรอดและการต่อสู้ของ Zoids ที่เป็นความหมายของการเป็น “สัตว์ร้ายจักรกล” ได้โดยตรงนั้น จึงได้มีการพัฒนา “เครื่องจักรที่ทนทาน และคล่องตัวขึ้น”
ร่างกายของ Zoid แต่ละตัวนั้นต้องการชิ้นส่วนหลายแสนชิ้น แต่ด้วยความสามารถของชาวZoidians ที่รวมชิ้นส่วนเหล่านั้นไว้เป็นชิ้นเดียวกันได้ ก็นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่น่าอัศจรรย์นัก
พวกเขาติดตั้ง “เซอร์โวมอเตอร์” (นึกถึงมอเตอร์ทามิย่า ที่ควบคุมความเร็วได้แบบการบิดแฮนมอเตอร์ไซค์ก็ได้ครับ)ไว้ที่ข้อต่อแต่ละข้อของ Zoid โดยแนวคิดนี้ยังทำให้สามารถรื้อถอนชิ้นส่วนได้ง่ายเมื่อมันเก่าหรือมีความจำเป็น ทำให้ประสิทธิภาพการบำรุงรักษาเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยภายหลังได้มีการพัฒนา “ฝาครอบ
ข้อต่อทั่วไป” สำหรับใช้กับข้อต่อของเหล่า Zoids ทั้งหมดอีกด้วย
วิวัฒนาการของ Zoids และอาวุธ
ในยุคที่ Zoids ถูกเลี้ยงเพื่อใช้ในการล่าและต่อสู้ชาวZoidians ที่เป็นเหล่าทหารจะทำการขี่(แบบขี่ม้า) พวกมันออกไปรบโดยมีดาบและโล่อยู่ในมือพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มมีการทดแทนแขนขาพวก Zoids ด้วยสิ่งเทียมชาวZoidians ก็ได้เริ่มติดตั้ง “อาวุธ” ที่มีการพัฒนามากขึ้นเข้าไปด้วยเช่นกัน
คันธนู และเครื่องยิงหินอันทรงพลัง ถูกติดตั้งอยู่กับชิ้นส่วนที่จะไม่ไปขัดขวางความสามารถในการเคลื่อนที่ของ Zoids และที่นั่งของผู้ขี่ก็ถูกขยายให้นั่งได้อย่างปลอดภัยขึ้น เพื่อให้ผู้ขี่สามารถควบคุม Zoids ผ่านคันโยกและสวิตช์ ในการควบคุมอาวุธและการเคลื่อนไหวได้ในเวลาเดียวกัน
และในยุคที่ Zoids ได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “สัตว์ร้ายจักรกล” อาวุธประเภท “ปืน” ที่ยิงกระสุนโลหะออกไปด้วยแรงดันจากดินปืนที่เผาไหม้ เพื่อทำลายเป้าหมายด้วยพลังงานจลน์ โดยในระยะใกล้ พวกเขาติดตั้ง ปืนแก็ตลิง(Gatling Gun) ความเร็วสูงที่เน้นการยิงที่รวดเร็วมากกว่าความแม่นยำ และปืนใหญ่พิสัยไกลสำหรับการต่อสู้ระยะไกล
ซึ่งการติดตั้งปืนขนาดใหญ่รวมถึงกระสุนปริมาณมาก มันจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Zoids มีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า นั่นเอง
Zoids Energy
ประมาณ 200ล้านปีก่อนอารยธรรม Zoidians
สิ่งมีชีวิตบน Zi เป็นสิ่งมีชีวิตโลหะซึ่งยังไม่มีเปลือกหุ้มเกราะที่แข็งแกร่งมากนัก มีแมลงและพืชโลหะขนาดเล็กที่อยู่ในระดับต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารนี้ โดยร่างเหยื่อของสิ่งมีชีวิตโลหะอีกตัวที่แข็งแกร่งกว่า จะถูกกินและรีไซเคิลไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ก่อนจะไปถูกกินโดยผู้แข็งแกร่งกว่า และวนเวียนกันเป็นระบบง่ายๆเช่นนั้น (พวกที่อยู่บนจุดสูงสุดเองก็พลาดตายจากธรรมชาติจนกลายเป็นอาหารของพวกตัวเล็กได้เช่นกัน)
จนถึงช่วง ZAC 1900
เมื่อสิ่งมีชีวิตของ Zi พัฒนา Zoid Core ขึ้นมาทำให้ห่วงโซ่อาหารก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการกินส่วนอื่นๆไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการกิน Core ของอีกฝ่าย
หลังจาก ZAC 1950
จากการที่ Zoids นั้นถูกเปลี่ยนอวัยวะส่วนใหญ่เป็นสิ่งเทียมแล้ว “การเอาชีวิตรอด” นั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปหากขาดชาว Zoidians ที่ต้องคอยซ่อมแซมและเสริมกำลังให้พวกมัน
เพื่อให้ Zoid Core ยังมีชีวิตต่อไปได้ ชาว Zoidians จำเป็นต้องจัดหาส่วนประกอบของเหลว(ที่มีคุณสมบัติแบบน้ำทะเลโบราณ) มาให้ Zoid Core ในการใช้เป็นพลังงาน อีกทั้งสำหรับร่างกายเทียม พวกเขายังต้องการแหล่งพลังงานอื่นๆอีกเช่น แบตเตอรี่ที่ใช้ในการขับเคลื่อนเซอร์โวมอเตอร์, น้ำมันที่ใช้กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน(ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทที่ใช้จำแนกออกไปอีก) และน้ำมันขับเคลื่อนสำหรับหล่อลื่นในกระบอกสูบ
การจัดหาสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่องนั้นเป็นไปไม่ได้เลยหากขาดซึ่งการจัดการขั้นสูง หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือ เหล่า Zoids ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปหากขาด Zoidians หรือมนุษย์คอยดูแล
อย่างไรก็ตาม Zoids เร่ร่อนที่ดุร้าย ก็อาจจะนับเป็นข้อยกเว้นได้บ้างเล็กน้อย เพราะพวกมันโจมตี Zoids ตัวอื่นและรับแหล่งพลังงานจากร่างของเหยื่อ(แบบประทังชีวิต) แต่นั่นก็ยังหมายถึงว่าโดยทางอ้อมแล้วพวกมันไม่สามารถอยู่รอดได้หากขาด Zoidians (เพราะไม่มีเหยื่อที่สมบูรณ์ให้มันล่า)
การระบาดของสงครามทวีปกลาง ZAC 1978-2028
หลังการขึ้นเป็นกษัตริย์ ราชาเฮลิค ได้มีลูกชายคนแรกกับลูกสาวตระกูล เจนัส ชื่อ “เฮลิคที่2”(Helic II) และต่อมาได้นำน้องสาวของ กายลอส อดีตศัตรูของเขามาเป็นภรรยาอีกคน โดยมีลูกชายคนที่สองชื่อว่า “เซเนบัส”(Zenebas)
โดยเจ้าชายพระองค์แรกอย่าง เฮลิคที่2 สืบสายเลือดของตระกูลเจนัส ผู้ซึ่งเห็นคุณค่าของความสงบสุข ความปรองดอง และความสามัคคี เขามีความสามารถในการปกครองที่ยอดเยี่ยม และเจ้าชายพระองค์ที่ 2อย่าง เซเนบัส ผู้สืบเชื้อสายมาจากนักรบผู้กล้าหาญ กายลอส ผู้ฝ่าพันสถานการณ์ที่ยากลำบากด้วยความกล้าหาญและความแข็งแกร่ง
ราชาเฮลิคปรารถนาอย่างจริงใจว่าว่าลูกชายทั้ง 2 จะเติบโตขึ้นมาเป็นดั่ง สองกงล้อแห่ง “ความสามัคคีอันชาญฉลาด” และ “การปกป้องสันติภาพอย่างกล้าหาญ” เพื่อรักษาและธำรงไว้ซึ่งความสงบสุขของสาธารณรัฐ ด้วยความร่วมมือกันของสองพี่น้อง
หลังการสิ้นพระชนม์ของราชาเฮลิคในวัย 78ปี ลูกชายคนแรกอย่างองค์ชายเฮลิคที่2 กลับปฏิเสธการครองบัลลังค์ แต่เลือกที่จะเป็นประธานาธิบดีคนแรก โดยแต่งตั้งให้เซเนบัส น้องชายของเขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ โดยมีรัฐสภาเป็นผู้อนุมัติอย่างเห็นชอบ
เฮลิคที่2 กระจายอำนาจระหว่างพี่น้องตามเจตนาของบิดาได้เป็นอย่างดี แต่เจตนานั้นกลับส่งไปไม่ถึงน้องชายของเขา ความสงบสุขกลับกลายเป็นความน่าเบื่อหน่ายของเซเนบัสที่ไม่เข้าใจว่ากองทัพที่มีอำนาจ สามารถป้องกันสงครามและความขัดแย้งได้เพียงแค่มีมันอยู่…
เซเนบัสจัดซ้อมรบขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน เขาฝึกทหารและสั่งการกองทัพได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ความไม่พอใจของเขาก็ค่อยๆแพร่กระจายไปยังเหล่าทหารระดับสูงของกองทัพ เลือดของกายลอสผู้เป็นนักรบในตัวของเขากำลังโห่ร้อง ทำให้ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดก็มาถึงสำหรับสองพี่น้องและพลเมืองของสาธารณรัฐ
ต่อมาเซเนบัสได้วางแผนรุกรานออกไปนอกทวีปกลางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสภาหรือพี่ชายของเขา สิ่งนี้ได้เป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพี่น้องทำให้ในที่สุดเซเนบัสและคนติดตามของเขาก็ได้ใช้ซากปรักหักพังของปราสาทจากยุคของสงครามระหว่างเผ่าเป็นฐานที่มั่นในการบุกยึดดินแดนฝั่งตะวันตกของทวีปกลางโดยไม่สนใจคำเตือนของพี่ชาย ทำให้รัฐสภาต้องลงมติถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพพร้อมทำการเนรเทศเขาออกจากประเทศไป
ภายในดินแดนทางตะวันตก มีอดีตข้าราชบริพารและผู้ที่เกี่ยวกับเผ่าปฐพี ของกายลอสหลงเหลืออยู่ ซึ่งการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของเซเนบัส ก็เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ขึ้นมายุยงเซเนบัสในการสร้างประเทศแห่งเกียรติยศ สถานที่ซึ่งนักรบสามารถมีชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้เอง เซเนบัสจึงได้ครอบครองดินแดนฝั่งตะวันตกของทวีป โดยตั้งชื่อว่า “จักรวรรดิเซเนบัส” ประเทศที่ประกาศอิสรภาพจากสาธารณรัฐ จนทำให้สันติภาพในอุดมคติที่ราชาเฮลิคสร้างไว้ได้พังทลายลง และเป็นการมาถึงของยุคแห่งสงครามอีกครั้ง….
การมาถึงของชาวโลกZAC 2029-2030
*ในส่วนนี้มีศัพท์เชิงวิทย์แบบหนังไซไฟ+รายละเอียดยิบย่อยที่ไม่ได้นำไปใช้ทีหลังเยอะมาก เลยจะทำการสรุปเหตุการณ์ให้เลยนะครับ(นี่สรุปแล้วครับ จริงๆ…)
มนุษย์โลกได้ก่อตั้งมูลนิธิ “ผู้บุกเบิกอวกาศ” ในการส่งยานสำรวจออกไปยังอีกฟากนึงของจักรวาล โดยเริ่มจากโครงการ Globally I ยานสำรวจลำแรกที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการสำรวจใจกลางของจักรวาล ก่อนที่โครงการ Globally III ที่มีลูกเรือ ร่วม 200คนเดินทางมาพร้อมกับยาน จะถูกปล่อยตัวตามออกมาด้วยเทคโนโลยีที่เหนือว่าทำให้การเดินทางของมันได้เซงหน้า Globally I และ II ที่ออกนำมาก่อน จนมันมาถึงอีกฝากของจักรวาลได้สำเร็จ
และเมื่อเดินทางมาถึง คอมพิวเตอร์ได้แสกนพบดาวที่เหมือนกันโลกมาก ในทีแรก ลูกเรือ ต่างยินดีที่จะลงไปสำรวจและใช้ดาวดวงนี้เป็นโลกใหม่สำหรับมนุษยชาติ แต่ด้วยเหตุผลและข้อมูลที่ตรวจพบหลายๆอย่างทำให้คอมพิวเตอร์ประจำยานได้คัดค้าน และเสนอให้เดินทางไปหาดาวดวงอื่นที่ไกลออกไปถึง 200พาร์เซกแทน (เป็นหน่วยวัดระยะในอวกาศ) และหลังจากพิจารณาหลายๆอย่าง กัปตันและทีมงานประจำยานได้ตัดสินใจเคารพความคิดเห็นของระบบคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตามในกลุ่มลูกเรือ ยังมีอดีตเหล่านักอุตสาหกรรม และพวกทำธุรกิจมืดในอดีตอยู่ด้วย(พวกพ่อค้าตลาดมืดที่มีความสามารถสูงมากในยุคเก่าบนโลก) พวกเขาต้องการเริ่มต้นสร้างอาณาจักรเป็นของพวกเขาเองในดาวดวงใหม่ ผนวกกับลูกเรือที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางกว่า 200ปี ผ่านการนอนหลับในสลีปแคปซูล ก็ได้เริ่มรวมตัวและก่อกบฏขึ้นบนยาน
การต่อสู้รุนแรงขึ้นจนเครื่องยนต์หลักของตัวยานเสียหายอย่างหนัก ระบบคอมพิวเตอร์หลักแจ้งเตือนให้ลูกเรือทำการสละยานโดยได้ทำการสละเครื่องยนต์ที่เสียหายออก(ป้องกันการระเบิดมาโดนตัวยานที่มีผู้โดยสารและทรัพยากรสำคัญ) ก่อนจะทำการห่อหุ้มตัวยานด้วยเกราะสนามแม่เหล็กในการพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวดวงนั้น…
Frist Contact
ณ เทือกเขากลางที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแนวหน้าสนามรบระหว่างเผ่าวายุและเผ่าปฐพี ในตอนนี้มันก็ได้เป็นแนวหน้าอีกครั้งในสงครามระหว่าง สาธารณรัฐและจักรวรรดิ
วันหนึ่งระหว่างเกิดการต่อสู้เล็กๆของหน่วยสอดแนมจากทั้ง สองฝ่าย ที่ปะทะกันในป่าทึบ มันเป็นการต่อสู้ที่กินเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีส้ม ทหารจากทั้งสองฝ่ายก็ได้ยินเสียงดังก้องกังวานจากบนท้องฟ้า เสียงจากการระเบิดของอากาศที่ทำให้หูของเหล่าทหารแทบฉีกขาด ลูกไฟขนาดมหึมาพุ่งลงมาจากฟ้าชนเข้ากับยอดเขาอย่างรุนแรง (ในจุดนี้ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาก เลยมีลูกเรือเสียชีวิตในระหว่างการยิงต่อสู้กัน มากกว่ายานตกซะอีก…)
ทหารทั้งสองฝ่ายลืมการต่อสู้ของพวกตนจนสิ้น ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังวัตถุที่ตกลงมานั้น แม้ในตอนแรกพวกเขาจะระวังตัวในการเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในซากยานขนาดยักษ์ลำนั้น แต่เมื่อเห็นว่ามีร่างกายไม่ต่างจากพวกเขา ทั้งสองฝ่ายจึงต่างเข้าไปแย่งชิงเพื่อจับกุมพวกเขาไปยังประเทศของตนเอง
ข่าวของผู้มาเยือนได้ไปถึงหูของผู้นำทั้งสองอย่างเฮลิคที่2 และเซเนบัส ความคิดเกี่ยวกับการปรากฏตัวของทวีปมืดในอดีตผุดขึ้นมาในใจของพวกเขา แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าแม้ในอดีต ผู้มาเยือนอย่างทวีปมืดจะนำมาซึ่งความสามัคคีสู่ทวีปกลาง แต่ผู้มาเยือนอย่างชาวโลกในครั้งนี้ พวกเขากลับเป็นผู้จุดไฟสงครามที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อนให้กับดาวแห่งนี้…
ทำไมอาวุธของ Zi ถึงต้องเป็น Zoids?
ในไม่ช้า ชาวZoidians และชาวโลก(Earthling) ก็สามารถเข้าใจภาษาของกันและกันได้ และด้วยความแข็งแกร่งทางวิทยาศาตร์ของมนุษย์โลก พวกเขาค่อยๆนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงสิ่งต่างๆในระบบของสาธารณรัฐให้ดีขึ้น
Dr.Kronenbourg วิศกรของ Globally III เขาเห็นถึงความปรารถนาในสันติภาพของ ผู้นำอย่าง เฮลิคที่2 และเชื่อว่าหากกองทัพของฝ่ายสาธารณรัฐได้รับชัยชนะ สันติก็จะเกิด จึงอนุมัติความช่วยเหลือในการร่วมมือที่จะพัฒนาอาวุธให้
ซึ่งหากมองในมุมที่ว่ามนุษย์โลกในตอนนี้นั้นไม่มีหนทางในการกลับบ้านแล้ว(เพราะยานเสียหายหนัก แถมเครื่องยนต์หลักก็โดนดีดทิ้งไปในอวกาศระหว่างเกิดการจารจลบนยาน) พวกเขาจึงเหลือหนทางเดียวคือการทำให้ดาวดวงนี้เหมาะแก่การเป็นบ้านหลังที่2 ของพวกเขาให้มากที่สุด และความสงบสุขคือสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องการโดยเร็ว
ในตอนแรก พวกเขาลองสร้างรถถังที่สามารถผลิตต่อหน่วยได้มากกว่า Zoids ในราคาเท่ากันออกมา แต่ประสิทธิภาพของ Zoids นั้นกลับเหนือชั้นกว่าอย่างเทียบไม่ได้ แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้นทั้งที่ “ขา” ไม่น่าจะคล่องตัวได้มากกว่า “ล้อ”? (อิงจากตรรกะบนโลกเรานะครับ)และคำตอบนั้นก็คือ Zoid Core อุปกรณ์ควบคุมที่ผลิตพลังงานมหาศาลออกมาสนับสนุนเครื่องยนต์ของมัน โดยสร้างแรงต้านกับผิวของดาว Zi ที่อุดมไปด้วยโลหะ(คือได้บัฟจากดาว+มีความเป็นสิ่งมีชีวิตน่ะครับเลยพริ้วกว่าเครื่องจักรอย่างรถถังมากๆ)
ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการสร้างรถถังที่มี Zoid Core ขึ้นมาทันที แต่พวกมันกลับไม่ทำงาน เนื่องจาก Core นั้นไม่รู้จักระบบโครงสร้างจักรกลพวกนี้ ดังนั้นหากจะให้มันทำงานตามปกติ โครงสร้างจะต้องอยู่ในรูปแบบของโครงกระดูกและการเรียงตัวของระบบประสาท
ทำให้ในที่สุดตัวของ Dr.Kronen จึงตัดสินใจที่จะกลับไปใช้ Zoids เป็นอาวุธดังเดิม และเมื่อเขาเห็นว่าอาวุธปืนของดาว Zi เป็นแบบดั้งเดิมที่เป็นการใช้กระสุนกราดยิงแบบไม่มีระบบนำทาง เขาจึงได้ตระหนักว่า อารยธรรมของดาว Zi นั้นล้าหลังในทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จึงแนะนำอาวุธปืนแบบออปติคอล(คิดซะว่าเป็นอาวุธประเภทปืนเลเซอร์, ปืนลำแสง ก็ได้ครับ) ที่เชื่อมโยงกับระบบควบคุมโดยคอมพิวเตอร์
ผลลัพท์ปรากฏขึ้นอย่างมั่นคง และหลังจากการนำระบบควบคุมอาวุธดังกล่าวมาใช้ พวกเขานำมันไปติดตั้งให้กับ Zoids อย่าง Gojulas ซึ่งทำการติดตั้ง ปืนลำแสงจำนวนมากเพิ่มเข้าไป ทำให้ปืนทุกกระบอกสามารถล็อคการมองเห็นและโจมตีศัตรูหลายตัวในเวลาเดียวกันได้
และเมื่อ Dr. Kronen ได้รู้ว่า มีฝ่ายกบฏ ได้เข้าร่วมกับทางจักรวรรดิ และทำการพัฒนาอาวุธประเภทยุทโธปกรณ์ที่ทรงพลังอย่าง อาวุธประเภทชีปนาวุธนำวิถี เขาจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนชุดเกราะของ Zoids ฝ่าย สาธารณรัฐ ขึ้นใหม่เพื่อให้อยู่รอด จากการโจมตีเหล่านั้นได้ อาทิเช่น “เกราะเว้นระยะ”(Spaced Armour) ที่ป้องกันกระสุนเจาะเกราะ
(เกราะที่อยู่รอบส่วนบนของรถถังในรูปน่ะครับ), “เกราะต่อต้านลำแสง”(Anti-laser Meling Armour) ที่ช่วยกระจายความร้อนออกไปโดยรอบจุดที่ถูกโจมตี เป็นต้น
การติดต่อระหว่างจักรวรรดิและชาวโลก
ทางฝั่งพ่อค้าอย่าง Landbury กบฏบนยานนั้น เขาได้เดินทางมาถึงก่อนยาน Globally III ด้วยยานชูชีพ และสามารถลงจอดได้โดยไม่มีใครพบเห็น เขาจึงสามารถที่จะปลอมตัวเป็นพลเรือนจักรวรรดิและศึกษาอารยธรรมดาว Zi อยู่ช่วงหนึ่ง
ต่อมาเมื่อเขาได้ถูกทางจักรวรรดิจับตัวได้ แต่ด้วยความที่เขาเห็นถึงนิสัยรักการทำสงครามของผู้นำอย่างเซเนบัส เขาจึงได้เสนอการทำสัญญาในการพัฒนาและผลิตอาวุธจำนวนหนึ่งที่จะบดขยี้ศัตรูด้วยพลังทำลายล้างที่มากกว่าได้อย่างง่ายดาย
ขีปนาวุธจู่โจมพร้อมอุปกรณ์นำวิถี, ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าความเร็วสูงที่สามารถเจาะเกราะที่แข็งที่สุดได้ในพริบตา, กระสุนฟิวส์ระยะใกล้ที่จะจุดชนวนตัวเองเมื่อมีศัตรูอยู่ในระยะแม้จะยิงไม่โดน, กระสุนลูกปลายที่จะระเบิดบนฟ้าและตกลงใส่ศัตรูราวกับฝน พร้อมทั้งระบบ C3I (C-cubed-I) ที่กล่าวสั้นๆได้ว่ามันเป็นระบบสั่งการ, ควบคุม, และสื่อสารแบบครบวงจรด้วยระบบประมวลผลชั้นสูง ที่จะช่วยตัดสินสถานะปัจจุบันของกองทัพจักรวรรดิพร้อมการวางกลยุทธแก้ไขให้
สิ่งต่างๆเหล่านี้ ถูกเสนอออกไปเพราะ Landbury นั้นเข้าใจถึงธรรมชาติของกองทัพจักรวรรดิที่เน้นรูปแบบไปในการบุกโจมตี เขาจึงเสนอการเพิ่มพลังโจมตีให้กับ Zoids มากกว่าการป้องกัน ในที่สุดเซเนบัสที่ประทับใจในตัวของเขาเป็นอย่างมาก ก็ได้มอบความไว้วางใจให้เขาดูแลโรงงานและทหารนับหมื่นนาย จนเขาสามารถทำกำไรจากการซื้อขายอาวุธไฮเทคทรงพลังพวกนี้ ซึ่งอาวุธพวกนั้นก็ได้กลายเป็นมาตรฐานให้กับ Zoids ของฝ่ายจักรวรรดิทั้งหมดในเวลาต่อมา
นอกจากอาวุธแล้ว Landbury ยังได้เสนออุปกรณ์ไฮเทคอีกชิ้น หลังจากที่เขารู้ว่าทางสาธารณรัฐมีกลุ่มของชาวโลกกำลังคิดค้นเทคโนโลยีอยู่เช่นกัน นั่นก็คือ อุปกรณ์ที่จะช่วยในการอำพรางตัวจากระบบตรวจจับศัตรูทางอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงของฝ่ายเฮลิค การนำเสนอนั้นได้ทำให้เขาพัฒนาสีพิเศษที่จะดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแทนที่จะสะท้อนกลับไป ทำให้จักรวรรดิสามารถจู่โจมศัตรูได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เพราะเมื่อมองเห็นด้วยสายตา มันก็สายไปแล้วที่จะมีชีวิตรอดจากอาวุธของพวกเขา…
เมื่อผนวกเข้ากับกลยุทธแบบบุกประชิดด้วยการโถมกำลังในการเข้าทำลาย กล่าวคือ นอกจากจะเป็นการซุ่มโจมตีด้วยอาวุธทำลายล้างสูงแล้ว Landbury ยังเสนอกลยุทธที่ไม่ต้องสนใจเพื่อนร่วมรบที่โดนยิงหรือกระสุนที่พุ่งเข้ามา เพราะคุณสมบัติพิเศษของ Zoids ก็คือการต่อสู้ระยะประชิด ยิ่งพิจารณาวิธีการรบในปัจจุบันของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนมาเป็นการยิงด้วยอาวุธระยะไกล การบุกเข้าไปถึงตัวจึงเป็นการลดความสูญเสียระยะยาวที่ได้ผลกว่ามาก
ทั้งนี้ในทุกการต่อสู้ ก็จะมีกล้องสอดแนมที่อยู่ด้านหลังของกระบวนทัพติดตามไปด้วยเสมอ มันจะทำการบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดและนำกลับมายังศูนย์บัญชาการ เพื่อนำยุทธวิธีไปปรับใช้ในศึกครั้งต่อๆไปได้ดีขึ้นอีกด้วย ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้เซเนบัสโปรดปราน Landbury ถึงขนาดที่สามารถเข้ามาเสนอความคิดต่างๆกับตัวของเขาได้โดยตรงเลยทีเดียว
ยุคสมัยแห่งสงครามทวีปกลางZAC2032
นับตั้งแต่การมาถึงของชาวโลก ความทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงของอาวุธไฮเทคของทั้งสองขั้วอำนาจ ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากครั้งหนึ่งที่เหล่า Zoids เคยเป็นสัตว์ป่าติดอาวุธ แต่ด้วยยุทโธปกรณ์จากวิทยาศาสตร์ พวกมันถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ กลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างแท้จริง
ยุทโธปกรณ์ของชาวโลกเปลี่ยนการต่อสู้ที่ซึ่งในอดีต ความกล้าและสัญชาตญาณเป็นตัวกำหนดสิ่งต่างๆ แต่ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกกำหนดด้วยระบบคำสั่งและข้อมูล ซึ่งทหารชาว Zoidians ได้ประสบกับความจริงนี้ด้วยตัวเองใน “การต่อสู้ที่อดานเนส” (Battle of Ardannes)
Battle of Ardannes
ในเดือนตุลา ZAC 2032 กองกำลังจักรวรรดิติดอาวุธหนัก ตัดสินใจบุกเข้าไปในหุบเขาของเทือกเขากลาง ในคืนที่มีพายุ เพื่อโจมตีกลุ่มฝั่งตะวันออกแบบไม่ให้ทันตั้งตัว แต่ฝ่ายสาธารณรัฐสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขา “กัปตันบาลัน” แห่งกองพันจู่โจมที่2 ได้นำกำลัง Zoids ประมาณ หนึ่งโหล แอบซุ่มโจมตีเพื่อทำการบุกโจมตีเข้าไปในหุบเขาฝั่งศัตรูอยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ มันเป็นประสบการณ์ครั้งแรก ที่แม้แต่กับกัปตันบาลันผู้มีประสบการณ์และกรำศึกมามากมายในฐานะ ผู้ขับ Zoids ก็ตาม
การต่อสู้เริ่มขึ้น เมื่อจักรวรรดิเปิดศึกด้วยการปล่อยคลื่นรบกวนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เมอร์ดาส(Electronic Warfare Merdas) ทำให้ความสามารถในการสื่อสารของฝ่ายสาธารณรัฐถูกรบกวน และพวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายจักรวรรดิได้
ในสภาพกลางคืนที่มีพายุโหมกระหนำ การพยายามเปิดระบบตรวจจับศัตรูด้วยคลื่นวิทยุนั้น เสี่ยงต่อการถูกติดตามจากอีกฝ่ายอย่างมาก ดังนั้นผู้นำด้านเทคนิคของชาวโลกจึงได้สั่งไม่ให้ใช้คลื่นวิทยุหากเป็นไปได้(เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ทหารรู้จากตอนฝึกใช้เครื่องมือ) กัปตันบาลันจึงสั่งให้ลูกน้องใช้วิธีการเดียวที่เหลืออยู่ นั่นคือการเปิดตัวตรวจจับความร้อนไอเสียจากร่าง Zoids ของศัตรู…
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตามปกติวิธีนี้จะได้ผล แต่ทางจักรวรรดิ ก็ได้ทำการติดตั้งเครื่องทำความเย็นไว้กับตัว Zoids ของพวกเขาจนร่างกายพวกมันมีอุณหภูมิเท่ากับสภาพแวดล้อมภายนอก และเมื่อไม่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวใดใดได้ กองทัพฝ่ายสาธารณรัฐก็ถูกซุ่มโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ด้วยการช่วยเหลือจาก Gojulas ที่ติดอาวุธครบเครื่องทั้ง 3ตัวที่ตามมาสมทบ พวกเขาจึงสามารถไล่ต้อนฝ่ายจักรวรรดิ ให้ถอยกลับไปได้
การต่อสู้ที่เด็ดขาดระหว่าง Zoids ครั้งนั้นเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างอาวุธชนิดใหม่ที่ต่างฝ่ายต่างได้รับการพัฒนามาโดยชาวโลก
ขีปนาวุธนำวิถีที่ฝ่ายจักรวรรดิยิงออกมานั้นมี ระบบ AI ที่สามารถจดจำรูปร่างอยู่ด้วย ทำให้แม้ว่าพวกมันจะถูกยิงไปยังศูนย์กลางของสนามรบที่ชุลมุน พวกมันก็มักจะโจมตีโดนร่างของศัตรู เพราะ AI พวกนั้นสามารถจดจำรูปร่างของ มิตรและศัตรูได้อย่างแม่นยำ
ทางฝ่ายสาธารณรัฐเอง ด้วยการใช้ระบบล็อคเป้าอัตโนมัติจากคอมพิวเตอร์ ปืนลำแสง 2กระบอกก็มักจะยิงออกไปที่ศัตรู จนพวกมันกลายเป็นเหมือนจุดตัดของลำแสงจากปืนพวกนั้นได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ
พลังของอาวุธไฮเทคเหล่านี้มากมายมหาศาล แขนของ Zoids ถูกฉีกปลิวออกมาจากร่าง แม้แต่หางที่แข็งแกร่งของของพวกมันก็ถูกระเบิดจนขาดสะบั้นออกมา
…เมื่อการต่อสู้ที่ยาวนานถึง 2วันได้สิ้นสุดลง หุบเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับการเรียกว่า สุสานของเหล่า Zoids มากกว่าไปแล้ว…
บันทึกของกัปตันบาลัน ผู้ดูแลภารกิจนี้ ได้ถูกบันทึกไว้ดังนี้
“เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง มันตอกย้ำลงไปในความรู้สึก ..ว่าตัวข้ากำลังอยู่ในยุคแห่งความตาย ไม่มีช่องว่างเหลือสำหรับความกล้าหาญ, ความภาคภูมิใจ หรือเกียรติยศ…. แม้แต่การตัดสินใจของทหารในการเข้าสู่สนามรบก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ผู้ขับ Zoids มอบชีวิตของพวกเขาไว้กับระบบควบคุมการยิงด้วยคอมพิวเตอร์ ท่ามกล่างแสงสีขาวของขีปนาวุธนำวิถีและสายฝนของลำแสงเลเซอร์ที่สว่างยิ่งกว่าฟ้าผ่า พวกเราเหล่าทหารนั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากรอให้การต่อสู้นั้นสิ้นสุดลง
ความแข็งแกร่งของ Zoids ยังเพิ่มขึ้นเหนือกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยการติดตั้ง Power Assists, Energy Boots และ Superchargers ในสนามรบนี้เพียงหนึ่งส่วนสิบ ของวินาทีที่ประมาท ก็อาจหมายถึงชีวิต…
เมื่อการต่อสู้อันโหดร้ายได้จบลง ข้าถึงรู้สึกตัว ว่ากอร์ดอสที่ข้าบังคับอยู่นั้น มันไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว…
หลังจากลงจากห้องนักบิน และยืนอยู่ข้างมัน ข้าถึงสังเกตเห็นว่าด้านข้างมีรูขนาดใหญ่อยู่ 2รูซึ่งเกิดจากลำแสงความร้อนสูงที่เจาะทะลวงเข้าไป …กอร์ดอสตัวนี้คงไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้องด้วยซ้ำ… ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Zoids ตัวต่อไปที่พวกเขาจะให้ข้าใช้ มันคงจะถูกพัฒนาขึ้นไปอีกเป็นแน่..
และสิ่งที่รอคอยตัวข้าที่เหนื่อยล้า ก็คือคู่มือรายการเกี่ยวกับอาวุธใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นกว่า 300รายการ โดยวิศวกรชาวโลก
ทั้งเรื่องอัตราการแพร่กระจายของเลเซอร์ในชั้นบรรยากาศ, ความทนทานของเกราะปฏิกิริยาต่อต้านขีปนาวุธ, ทฤษฎีของเกราะต้านทานอาวุธลำแสง, วิธีการจัดการกับทุ่นระเบิดอัจฉริยะ, การฝึกการแจงนับ Biorhythms ของสัญชาตญาณดิบของ Zoids ฯลฯ… เพราะผู้บังคับบัญชาต้องศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรบครั้งต่อไปเสมอล่ะนะ….
ในสมัยก่อน เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง เราจะดื่มกับสหายร่วมรบก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน… นี่ข้าแก่แล้วงั้นหรอ?… ไม่… ข้าแน่ใจเหลือเกินว่าผู้บัญชาการของศัตรูเองก็กำลังคิดแบบเดียวกันอยู่แน่นอน
ความหวังเดียวของข้าในตอนนี้คือคำพูดของชาวโลก ..คำพูดที่ว่า ถ้าเรามีอาวุธที่เหนือชั้น การต่อสู้จะจบลงอย่างรวดเร็ว…. บางทีสิ่งที่ข้าทำได้ ก็คงเหลือแค่เชื่อในคำพูดเหล่านั้นกระมัง
นี่ข้ามีอารมณ์อ่อนไหวเพราะแก่เกินไปแล้วหรือไงกัน? ..เอาเถอะ อย่างน้อยที่สุด ตัวข้าในวัยที่ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ขับ Zoids มันก็กลายเป็นอดีตอันไกลโพ้นแล้วล่ะนะ….”
Army Organisational Charts in the Middle Stage of the War
The Helic Republic
Timeline ประวัติศาสตร์ ของ Planet Zi
หลังการปรากฏตัวของชาวโลก
สงครามทวีปกลาง (ช่วงกลาง)
ZAC 2031
-การแข่งขันพัฒนาอาวุธให้กับ Zoids ครั้งแรก
การมาถึงของชาวโลกทำให้เกิดการพัฒนาอวุธต่างๆแข่งกันมากมาย
ZAC 2032
-Battle of Ardannes
การต่อสู้กันโดยมีการนำเทคโนโลยีของชาวโลกมาใช้ครั้งแรก
-การปรากฏตัวของ Ironkong
ฝ่ายจักรวรรดิได้สร้าง Ironkong Zoidsยักษ์ตัวแรกของพวกเขาได้สำเร็จ พวกมัน 150ตัว บุกโจมตีดินแดนของสาธารณรัฐจนปะทะเข้ากับ Gojulas 200ตัว โดยฝั่ง Ironkong ในเวลานั้นนับว่ามีกำลังที่เหลือล้นกว่า
ZAC2034
-การแข่งขันพัฒนาอาวุธให้กับ Zoids ครั้งที่สอง
การพัฒนา Zoids และอาวุธรุ่นใหม่นั้นดุเดือนและรวดเร็วมาก มากเสียจน Zoids ที่ผลิตเมื่อ1ปีก่อนจะถูกนับว่าล้าสมัยเกินไปเลยด้วยซ้ำ
ZAC2037
-การปรากฏตัวของ Ultrasaurus
สาธารณรัฐพัฒนา Zoids ขนาดมหึมาตัวนี้ขึ้นเพื่อการต่อสู้ที่เด็ดขาด จนแม้แต่ Ironkong ก็ไม่สามารถเทียบได้ จนสร้างความหวาดกลัวให้ผู้นำของฝ่ายจักรวรรดิอย่างมาก
-แนวคิดMK-II ถูกนำมาใช้
จักรวรรดิเข้ายึด Ultrasaurus ได้สำเร็จ ก่อนที่จะถูก Gojulas Mk-II ที่ไล่ตามมาทำลาย Ironkong เหล่านั้นเช่นกัน
ZAC 2039
-การล่มสลายของเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิเซเนบัส
กองกำลังฝ่ายสาธารณรัฐขนาดใหญ่โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ Ultrasaurus บุกเข้าโจมตีเมืองหลวงของจักรวรรดิจนเซเนบัสต้องหลบหนีไปยังทวีปมืด
สงครามทวีปกลาง (ช่วงท้าย)
ZAC 2041
-การโต้กลับของเซเนบัส
หลังจากได้รับการสนับสนุนจาก จักรวรรดิกายลอสของบิดาที่ปกครองทวีปมืด(Dark Continent of Nyx) เขาก็กลับมายังทวีปกลางโดยมี Zoids สายพันธุ์ใหม่มากมายที่ใช้ในการบุกโจมตีฝ่าแนวป้องกันของสาธารณรัฐได้สำเร็จ
ZAC 2042
-การปรากฏตัวของ Shield Liger
ขณะที่กองทัพสาธารณรัฐต่อสู้กับ Zoids สายพันธุ์ใหม่ของเซเนบัส Shield Liger ได้ทำการต่อสู้เพียงลำพัง ในการสนับสนุนแนวรบของสาธารณรัฐต่อไป
ZAC 2044
-การปรากฏตัวของ Death Saurer
จักรวรรดิเซเนบัส พัฒนา Zoid ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาในเวลานั้นอย่าง Deathsaurer ขึ้นมาสำเร็จ จนทิศทางของสงครามก็พลิกผันในทันที
-การล่มสลายของเมืองหลวงแห่งสาธารณรัฐ
เมืองหลวงของฝ่ายสาธารณรัฐล่มสลายจากการถูกบุกโจมตี เฮลิคที่2 ได้หนีไปพร้อมกับทหารและประชาชนของเขา และเริ่มทำสงครามแบบกองโจรในสถานที่ต่างๆทั่วทวีป
ZAC 2046
-ประธานาธิบดีเฮลิคแต่งงาน
เฮลิคที่2 ได้แต่งงานกับโรซา หัวหน้าผู้คุ้มกันของเขา
ZAC 2047
-Custom Zoid Forces Clash
อาวุธที่ทรงพลังกว่าเดิมหลายเท่าได้รับการพัฒนาขึ้นอีกในช่วงนี้ กองทัพทั้งสองฝ่ายที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับ Zoids ของฝ่ายตนได้ทำการส่งพวกมันออกไปยังแนวหน้าของสนามรบ
ZAC 2048
-การปรากฏตัวของ Madthunder
สาธารณรัฐประสบความสำเร็จในการสร้าง Madthunder Zoidที่มีอำนาจเหนือกว่า Death Saurer ทำให้การโต้กลับได้เริ่มต้นขึ้น
-การทวงคืนของสาธารณรัฐ
กองทหารฝ่ายจักรวรรดิที่เหนื่อยล้าจากการทำสงครามมานานหลายปี พวกเขาสิ้นหวังแทบจะทันทีที่เห็น Madthunder ของศัตรูบุกจู่โจมเข้ามา
ZAC 2051
-จักรวรรดิ เซเนบัส ล่มสลาย
หลังการผลิต Madthunder จำนวนมาก กองทัพ สาธารณรัฐได้เข้ายึดเมืองหลวงของจักรวรรดิเซเนบัสและปิดฉากสงครามทวีปกลางอันยาวนานได้สำเร็จ
ยุคแห่งสงครามข้ามทวีป
ZAC 2051
-จักรวรรดิกายลอสประกาศสงครามกับสาธารณรัฐ
จักรวรรดิกายลอสได้ฉวยโอกาสในการประกาศสงครามกับฝ่ายสาธารณรัฐที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำสงครามกับเซเนบัสมานาน
ZAC 2052
-สาธารณรัฐบุกโจมตีทวีปมืด
กองกำลังหน่วย Madthunder ได้เคลื่อนพลเข้าไปยัง ทวีปมืด อย่างไรก็ตาม พวกมันถูกบังคับให้ต้องต่อสู้กับ Zoids สายพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของจักรวรรดิกายลอส
ZAC 2053
-การปรากฏตัวของ Gilvadar
Zoid บินได้ที่แข็งแกร่งที่สุด Gilvaderเปิดตัวด้วยการโจมตีทางอากาศในดินแดนของฝ่านสาธารณรัฐ ทำให้สงครามยังดำเนินต่อไปตามความปรารถนาของจักรวรรดิกายลอส
ZAC 2056
-การปรากฏตัวของ King Gojulas
สาธารณรัฐสร้าง Zoid ที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์อยางสมบูรณ์ ด้วยการรวมมือระหว่าง King Gojulas กับกองกำลังที่หลงเหลืออยู่ พวกเขาท้าทายจักรวรรดิกายลอสในการประลองครั้งสุดท้าย แต่ในขณะเดียวกัน ดาวหางขนาดยักษ์ก็เดินทางเข้าใกล้ดาว Zi มากขึ้นทุกที
ภัยพิบัติครั้งใหญ่ของ Planet Zi
ZAC 2056
-การพุ่งชนของดาวหางขนาดมหึมา
ดาวหางยักษ์ชนเข้ากับ ดวงจันทร์ 1ใน3 ดวงของดาว Zi เข้าอย่างจัง เศษเสี้ยวของดวงจันทร์แตกสลายลงสู่ดาวเคราะห์ ทำให้ทวีปกลางแตกออกเป็น 3เสี่ยง ขณะที่ส่วนหนึ่งของทวีปมืดก็จมลงสู่ใต้ทะเลเช่นกัน กองทัพทั้ง 2ไม่สามารถสู้รบต่อไปได้อีก แต่ถึงอย่างนั้น สงครามก็ยังไม่คลี่คลายลง
ZAC 2094
-จักรพรรดิกายลอส สิ้นพระชนม์
จักรพรรดิกายลอส ผู้ปกครองสูงสุดที่รวมทวีปมืดและปกครองกองทัพอันยิ่งใหญ่ ได้สิ้นพระชนม์ลง ทำให้จักรพรรดิเด็กอย่างรูดอล์ฟ ขึ้นครองบัลลังก์ โดยมี อุปราช Prozen เป็นองค์รักษ์ของเขา (ซึ่งชายคนนี้คือตัวละครที่มีบทบาทสำคัญใน Anime ภาค Chaoctic Century และ Guardian Force นะครับ)
———————————————————————————–
หากมีข้อมูลใดผิดพลาดในบทความชุดนี้ ก็ขออภัยท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ทางผู้เขียนจะนำประสบการณ์และคำติชมไปแก้ไขในบทความอื่นๆต่อไปเสมอ (ทั้งนี้เนื้อเรื่องของ Zoids ยังมีการอัพเดทและเปลี่ยนแปลงไปตามภาคใหม่ๆอยู่บ้างนะครับ)
บทความโดยWolfTales