Steel Battalion
เกม ประเภท : Simulation Shooter
เครื่อง : XBOX
พัฒนาโดย : Capcom
วางจำหน่าย
ญี่ปุ่น 12 กันยายน 2002 / อเมริกา พฤศจิกายน 2003 / โซนยุโรป มีนาคม 2004
หากพูดถึงเกมที่ต้องขับหุ่น ไล่ยิงข้าศึกในสนามรบที่หลากหลาย แน่นอนว่าชื่อของ Armored Core นั้น ต้องมาเป็นอันดับแรก ด้วยเกมเพลย์ที่ขึงขังจริงจัง การควบคุมที่ซ้บซ้อน การโมดิฟายที่หลากหลาย ทำให้เกมนี้ อยู่คู่วงการเกมมาอย่างยาวนาน และลือบ่อยมากๆว่าจะมีภาคใหม่มาให้ได้เล่นกันเป็นระยะๆ
แต่ถ้าย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว ยุคที่วงการเกมได้เริ่มเข้าสู่การพัฒนา 3 มิติเต็มรูปแบบ ช่วงการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ที่หวือหวา และมีอะไรใหม่ๆให้ได้ว้าวกันจนเป็นตำนาน
และมีเกมๆหนึ่ง ที่ถ้าให้เรามองจากปัจจุบันกลับไปเวลานั้น ถือว่าเป็นเกมที่โคตรกล้าเสี่ยง กับการถ่ายทอดความ “สมจริง” แบบเข้มข้นบนหน้าจอทีวี กับเกมบังคับหุ่นยนต์ที่แสนจะยุ่งยาก (เผลอๆยากกว่า Armored Core ด้วย) วิสัยทัศน์จำกัด และการเคลื่อนที่ ที่จำลองว่า ถ้ารถถังมีขา มันจะเดินเร็วแค่ไหนกันเชียว…
นี่คือเกมที่หลายคน “หลงลืม” แต่เราขุดมาให้คุณได้ระลึกถึงมัน กับ Steel Battalion หรือ TEKKI (鉄騎)
เกมนี้คือ!?
Steel Battalion หรือ TEKKI (鉄騎) เป็นผลงานเกมจากทางค่าย Capcom Production Studio 4 ร่วมมือกับทีมงาน Human Entertainment ที่อยากจะลองหาอะไรใหม่ๆทำลงตลาด โดยโปรดิวเซอร์ อินาบะ อัตสึชิ เคยกล่าวในการประชุม Game Developers Conferenceในปี 2002 ว่า “Steel Battalionเป็น “โครงการที่เน้นผลิตภัณฑ์จำพวก อุปกรณ์ต่อพ่วง และซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้”
เดิมที จะมีกำหนดลงให้ระบบ PlayStation 2 แต่เมื่อ Xbox พร้อมเปิดตัว ทีมพัฒนาก็เปลี่ยนไปลงให้ Xbox เพราะเครื่องแรงกว่า PS2
การเล่นออนไลน์ถูกนำมาพัฒนาร่วมกับการสร้างเกมไปพร้อมๆกัน แน่นอนว่าตัวเกม มีความซับซ้อน ท้าทายทั้งทีมสร้าง และ คนเล่น แม้ว่ารีวิวจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากในสมัยนั้น โดย Famitsuให้คะแนน 35 จาก 40 คะแนน พร้อมเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล “กราฟิกยอดเยี่ยม” ประจำปี 2005 ของทาง GameSpot และ เสนอเข้าชิงรางวัล “เกมยอดเยี่ยมที่ไม่มีใครเล่น” และ “เกมที่น่าผิดหวังที่สุดบน Xbox” ของเหล่าสื่อในฝั่งตะวันตก เสียงแตกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจนชนิด “ถ้าไม่รัก ก็เกลียดเลย”
โดยเฉพาะ IGN ที่เคยรีวิวไว้ว่า “เกมหุ่นยนต์อื่นๆ จะไม่ยอมให้เราเข้าไปนั่งเล่นในตัวหุ่น แต่เกมนี้ จะขังเราไม่ให้ออกจากตัวหุ่นซะงั้น” … พร้อมคำจำกัดความสั้นๆว่า “ซื้อแผงควบคุมแถมแผ่นเกม ในราคา 200 เหรียญ”
Steel Battalionเป็นเกมที่ขายดีที่สุดอันดับห้าในช่วงสัปดาห์ที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นที่ประมาณ 15,092 ชุด จัดว่า “แป้กสนิท” มีกำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
Gameplay
ผู้เล่นจะได้ควบคุม “Tekki” หุ่นยนต์เดินสองเท้า (ในเกมเรียกว่า Vertical Tank หรือ VT) เรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุค 2080 มุมมองโลกแบบฮาร์ดคอร์ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของนานาประเทศที่น่าตื่นเต้น และผู้เล่นก็ใช้ VT อย่างชำนาญเพื่อปฏิบัติภารกิจที่กำหนด เอาจริงๆคนก็ไม่ค่อยไปโฟกัสกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่ เพราะจุดขายหลักที่จับต้องได้จริงๆ คือ “แผงควบคุม” ที่ใช้เล่นนั่นเอง
คอนโทรลเลอร์เฉพาะ จัดว่ามีขนาดใหญ่ จากความกว้าง 88 เซนติเมตรเมื่อกางออกพร้อมใช้งาน โดยบนแผงจะมีปุ่มให้ได้กดกันมากถึง 40 ปุ่ม และเป็น 40 ปุ่มที่ใช้งานได้จริงๆ มีผลกับเกมอย่างมากเสียด้วย เช่น
-ปุ่มเปิด/ปิดประตู และ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เมื่อเข้าเริ่มภารกิจ
-ปุ่มโยกหลบฉุกเฉิน
-ปุ่มอาวุธหลัก ,อาวุธรอง , ยิงพลุหลอกเพื่อตอบโต้ขีปนาวุธนำวิถี
-ปุ่มเรียกใช้อุปกรณ์มองกลางคืนสำหรับต่อสู้ในความมืด
-ปุ่มเครื่องฉีดน้ำล้างเพื่อขจัดสิ่งสกปรกตามตัวหุ่น
-ปุ่มดับเพลิงสำหรับดับไฟที่ลุกไหม้ตามจุดที่เสียหาย
-บลาๆๆ
นอกจากตัวควบคุมที่ควบคุมด้วยมือแล้ว ยังมีแป้นเหยียบ ซึ่งคุณต้องใช้เท้าเพื่อควบคุมคันเร่ง เบรก อีกต่างหาก เรียกว่าวุ่นวายสุดๆ
และเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีความวุ่นวายที่สำคัญกับเกมมากๆอย่างหนึ่ง เมื่อหุ่นคุณพังในระหว่างภารกิจ แล้วถ้าไม่กดปุ่ม “ดีดตัวฉุกเฉิน” นักบินจะตายคาหุ่นที่ระเบิด
ต่อมา เกมก็จะทำการ “ลบเซฟทิ้งทั้งหมด” และทำให้คุณต้องกลับไปเริ่มเล่นใหม่ตั้งแต่แรกอีกด้วย
ถึงจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายยุ่งยาก และขายไม่ดี แต่ Capcom ก็ดันทุรังทำภาคต่อออกมา ที่ชื่อว่า Steel Battalion: Line of Contact เปิดตัวในปี 2004
และ ภาคที่ 3 Steel Battalion: Heavy Armour วางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2012 รอบนี้ใช้งานทีมพัฒนาจาก Form Software และเปลี่ยนไปใช้ “การควบคุมเซ็นเซอร์การเคลื่อนไหว Kinect” ใน Xbox 360 แทนแป้นมหัศจรรย์ 40 ปุ่มเหมือนภาคก่อนๆ…
ถือว่าเป็นความกล้าเสี่ยงในการสร้างสรรค์ผลงานให้ผู้เล่นได้มีอารมณ์ร่วมกับเกมมากขึ้น และเชื่อว่าสิ่งที่ทีมงานพัฒนาเกมในอดีต ที่ได้ออกอุปกรณ์เสริมการเล่นเหล่านี้ จะเป็น “สารตั้งต้น” ในการทำให้เกิดการพัฒนาสิ่งที่มีในปัจจุบัน เช่น แว่น VR หรืออุปกรณืตวรจับเซนเซอร์ รวมไปถึงการเล่นกับ AR ต่างๆ
จริงๆ ไอเดียมันเจ๋งมากๆเลยนะ แต่ 40 ปุ่มนี่ก็ไม่ไหวจริงๆ 555
แอดมิน AK47