หากจะพูดถึงสถานที่น่าจดจำของแฟนเกมชุด Resident Evil แล้วล่ะก็ ส่วนใหญ่จะต้องนึกถึง คฤหาสน์สเปนเซอร์ (Spencer Mansion) คฤหาสน์สุดหรูที่ตั้งอยู่ใจกลางเทือเขาอาร์คเลย์ บริเวณใกล้ๆกับ เมืองแร็คคูน ซิตี้ ซึ่งภายใต้สถานที่สวยงามแห่งนี้ก็มีความลับดำมืดซ่อนอยู่จนเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องราวในเกมชุดนี้ เพื่อต้อนรับการมาของ Resident Evil Welcome to Raccoon City วันนี้เราจะพาย้อนไปดูเรื่องราวสุดโหดสุดสยองของสถานที่แห่งนี้กันครับ ว่ามีที่มาที่ไปและอะไรที่ทำให้สถานที่แห่งนี้คือตำนานจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใน RE ครับผม
คฤหาสน์ Spencer คือหนึ่งในสถานที่จากเกมแนว Survival Horror อย่าง Resident Evil (ญี่ปุ่นจะใช้ชื่อ Biohazard) วางจำหน่ายวันที่ 22 มีนาคม ในปี1996 ว่าด้วยเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ ตำรวจหน่วยS.T.A.R.S ที่ต้องมาสืบเรื่องราวของคดีลึกลับที่เกิดขึ้นในละแวกเทือกเขาอาร์คเลย์ พร้อมกับออกตามหาหน่วยชุดแรกที่เข้าไปทำการสืบสวนเมื่อ 24 ชั่วโมงที่แล้ว แต่เมื่อพวกเขาก้าวสู่คฤหาสน์แห่งนี้ความสยองก็ได้ย่างกรายพวกเขาทันที ซึ่งคฤหาสน์แห่งนี้คือฉากแรกที่ คริส เรดฟิลด์ และ จิล วาเลนไทน์ รู้ว่ามันคือกุญแจที่จะนำไปสู่เรื่องราวสุดสยองและความลับอันมืดมิดของ อัมเบรล่า (Umbrella Corporation) องค์กรโฉดที่มีฉากเบื้องหน้าคือบริษัทเวชภัณฑ์ยายักษ์ใหญ่ที่สุดที่มีแผนจะผลิตอาวุธชีวภาพ
เบื้องหลังเรื่องราวสุดชั่วและสุดสยองจากคฤหาสน์แห่งนี้ มาจากชายที่ชื่อ ลอร์ด ออสเวล อี.สเปนเซอร์ หนึ่งในสามผู้ก่อตั้งบริษัท Umbrella ร่วมกับเพื่อนรักทั้งสองคนอย่าง เอ็ดเวิร์ด แอชฟอร์ด และ เจมส์ มาร์คัส ซึ่งตัวสเปนเซอร์นั้น มีความฝันอันสูงสุดคือการผลักดันสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่ไปสู่สุดยอดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เพื่อสร้างโลกใบใหม่พร้อมกับตั้งตนเป็นพระเจ้า เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายแม้จะต้องหักหลังหรือกำจัดทุกคนที่เกี่ยวข้อง
(ซึ่งลอร์ด ออสเวล จะต่างจาก มิแรนด้า ใน ReVillage ที่คิดแค่เรื่องการคืนชีพลูกสาว ทำให้ศิษย์อย่่างลอร์ดสเปนเซอร์ แยกตัวมาทำ Umbrella โดยใช้สัญญลักษณ์ “ร่ม” เพื่อระลึกถึงอาจารย์อย่างมิแรนด้าเสมอมา…)
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์สุดสยอง
ย้อนกลับไปในช่วงปี 1962 ในช่วงที่ สเปนเซอร์เริ่มทำการทดลองเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพโดยได้สร้างศูนย์วิจัย ในละแวกเทือกเขาอาร์คเลย์ซึ่งอยู่นอก เมืองแร็คคูน ซิตี้ ซึ่งในบริเวณใกล้ๆยังมีศูนย์ฝึกกำลังพล สเปนเซอร์มีความคิดที่จะสร้างคฤหาสน์ไว้เป็นบ้านพักและรองรับแขก แล้ว ยังเป็นฉากบังหน้าศูนย์วิจัยของพวกเขาด้วย ซึ่งจะมีเส้นทางเชื่อมจากคฤหาสน์ไปยังศูนย์วิจัย ซึ่งสเปนเซอร์ได้ทำการจ้างสถาปนิกที่ชื่อว่า จอร์จ เทรเวอร์ ให้มาออกแบบและคุมการก่อสร้างคฤหาสน์แห่งนี้ แล้วยังได้มีการขอเพิ่มเติมว่า ภายในคฤหาสน์อยากให้ใส่ลูกเล่นและความลับ ต่างๆเข้าไปแต่ละห้อง ซึ่สถาปนิกคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาเพียง 5 ปีในการออกแบบและสร้างเสร็จตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ
แม้ว่าโจทย์ที่ทางนายจ้างได้ขอมานั้น อาจเป็นโจทย์ที่ท้าทายความสามารถของ จอร์จ แต่เมื่อได้รับงานตรงหน้าแล้วเขาก็พร้อมจะทุ่มเทแรงกายและแรงใจ เพื่อออกแบบและสร้างคฤหาสน์ตามที่สเปนเซอร์ต้องการซึ่งทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์เป็นรูปร่างในปี1967ก่อนที่สเปนเซอร์จะย้ายเข้ามาอยู่อย่างเป็นทางการ แม้ว่าการก่อสร้างศูนย์วิจัยหลักยังไม่เสร็จเรียบร้อยก็ตาม
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สเปนเซอร์ชื่นชมกับคฤหาสน์ที่ได้สถาปนิกมือดีมาออกแบบให้ แต่ว่าเขาก็เป็นอีกคนที่รู้รหัสและกลไกของห้องต่างๆ (ก็ตัวเองเป็นคนบอกนิ) ฉะนั้นถ้าหากเกิดจอร์จ รู้เรื่องว่าเขากำลังทำอะไร เขาอาจจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นต่อแน่ๆ ทำให้เขามีความคิดว่าจะต้องกำจัดเขาให้พ้นทางประกอบกับว่าเขากับเพื่อนๆกำลังทดลองอาวุธชีวภาพ ซึ่งยังไม่เคยทดลองกับมนุษย์ งั้นเข้าทาง (ฮ่าๆ) วันต่อมาเขาจึงเขียนจดหมายเชิญจอร์จและครอบครัวมาร่วมรับประทานอาหารที่คฤหาสน์แห่งนี้และพาไปดูผลงานที่จอร์จได้สร้างมากับมือ แต่ความจริงแล้วครอบครัวนี้กำลังจะกลายเป็นเหยื่อทดลองรายแรกให้กับเขาในการสร้างอาวุธชีวภาพนั่นเอง
ทางด้านจอร์จก็ตอบรับด้วยความยินดี เพราะว่าเขาจะได้เห็นผลงานของตัวเองแบบเต็มตาครั้งแรก แต่เนื่องจากเขายังมีงานที่ค้างอยู่ต้องจัดการให้เสร็จที่นิวยอร์ค จึงให้ เจสสิก้า ภรรยาสุดที่รัก และ ลิซ่า ลูกสาวออกเดินทางล่วงหน้าไปสองสามวันแล้วตัวเขาจะไปสมทบ โดยสองแม่ลูกเดินทางมาถึง สเปนเซอร์ก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีแล้วลิซ่ายังได้โชว์บรรเลงเปียโนได้ชมอีกด้วย ตัวสเปนเซอร์เองดูจะชื่นชอบบทเพลงอย่าง Moonlight Sonata ของ บีโทเฟ่น ภายหลังเขาใช้เพลงนี้เป็นกุญแจเปิดห้องลับ
ในค่ำคืนนั่นเองขณะที่สองแม่ลูกหลับสุขสบาย ก็มีชายสวมชุดทดลองบุกมากลางดึกจับสองแม่ลูกไปยังศูนย์วิจัยชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ แล้วเริ่มทำการทดลองตัวอย่างเชื้อไวรัสซึ่งปรากฏว่า ลิซ่า มีการตอบสนองต่อเชื้อทำให้นักวิทยาศาสตร์จึงให้กักตัวเพื่อสังเกตอาการต่อไป
หลังจากที่จอร์จเดินทางมาถึงทีหลัง สเปนเซอร์ก็ต้อนรับเขาและบอกว่า ภรรยาและลูกสาวของเขากลับไปเยี่ยมป้าที่ไม่สบาย (ความจริงถูกจับทดลองอยู่ที่ชั้นใต้ดิน) แต่จอร์จคงไม่สนใจ เพราะว่าตอนนี้เขาได้เหยียบในผลงานที่เขาเป็นคนออกแบบและเจ้าของบ้านยังพาชมบ้านทำให้จอร์จรู้ว่าสเปนเซอร์ต้องเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็บอกว่าตัวเขามีแผนจะเปิดบริษัทเวชภัณฑ์ Umbrella ซึ่งจะเป็นบริษัทธุรกิจข้ามชาติใหญ่โตในอนาคต เมื่อผ่านไปหลายวันเขาพบว่าลูกและภรรยาของเขาไปเยี่ยมป้านานมาก ประกอบขณะเดินเล่นเขาพบว่ามีบางจุดที่เขาไม่ได้ใส่ลงไปหนึ่งในนั้นคือ บันไดห้องลับหลังน้ำตก
ทำให้เขาตัดสินใจบอกกับสเปนเซอร์ว่า เขาจะกลับไปหาลูกเมีย ซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจและบอกว่าเขาต้องได้เจอพวกเขาแน่ (ในยมโลก) พอรุ่งเช้าจอร์จที่เก็บสัมภาระลงกระเป๋าก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่พาไปยังชั้นล่างและแจ้งข่าวว่าทั้งสองคนเสียชีวิต แต่ยังที่เขาไม่ได้ถามก็ถูกล็อคตัวและฉีดยาสลบ ตื่นมาอีกทีเขาถูกขังในที่ไหนซักแห่งของคฤหาสน์ แล้วความจริงจากปากนักวิจัยคนหนึ่งที่นำอาหารมาให้บอกว่า ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ สเปนเซอร์ ต้องการจะกำจัดเขานั่นเอง!!
ในที่สุดจอร์จก็หาทางหลบหนีมาได้ แต่ด้วยเส้นทางที่เขาออกแบบรวมถึงลูกเล่นที่สเปนเซอร์ได้แก้ไขใหม่ ทำให้เขาติดกับอยู่ในคฤหาสน์ฝีมอของเขาจนล่วงเลยผ่านไปทำให้เขาเริ่มอ่อนแรงก่อนจะไปพบห้องๆหนึ่งซึ่งมีป้ายหลุมศพสลักชื่อเขาไว้ ทำให้เขาสิ้นใจตายตรงหน้าหลุมศพในเวลาต่อมา (ใครอยากรู้เรื่องราว หาอ่านในไฟล์ที่ชื่อ Trevor ‘s Diary)
ขณะที่ทางฝั่งลิซ่า ก็กลายเป็นตัวอย่างการทดลองให้กับUmbrella นับไม่ถ้วน จนกลายเป็นตัวประหลาที่อยู่ในสภาพกึ่งอมตะ และผลจากการที่ต้องเป็นหนูทดลองไวรัสชนิดต่างๆนี่เอง ที่ทำให้เธอไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งเราจะได้เห็นลิซ่าอีกครั้งใน Resident Evil : Welcome to Raccoon City แน่แอน
สถานที่ถูกกล่าวขาน
Spencer Mansion หรือคฤหาสน์ของสเปนเซอร์ กลายเป็นหนึ่งในสถานที่เหล่าแฟนเกมพูดถึงในด้านความหลอนท่ามกลางความงดงามของสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป ลักษณะโดยทั่วไปเป็นคฤหาสน์สองชั้น สถาปัตยกรรมแบบยุโรป โดยคฤหาสน์จะเชื่อมกับห้องพักคนงานและศูนย์วิจัยครบวงจร นอกจากนี้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆก็ใช้ของดีและแพงที่สุดมาตกแต่ง อาทิเช่น ชุดโต๊ะรับประทานอาหารที่ใช้ไม้มะฮอกกะนี และรูปปั้นของ ออกุสต์ โรแดง ตั้งอยู่บริเวณระเบียงเหนือห้องอาหาร
จุดเด่นคือ ห้องต่างๆในคฤหาสน์มีทางไปสู่ห้องลับพร้อมลูกเล่นต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สเปนเซอร์ต้องการ นอกจากนี้ยังมีห้องแสดงผลงานศิลปะซึ่งรวบรวมผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตลอดจนห้องสะสะมเกาะอัศวินยุคกลางและห้องสะสมหัวสัตว์สต๊าฟบนฝาผนังจำนวนมาก
ด้วยรูปแบบและดีไซน์ของคฤหาสน์อันโดดเด่นนี่เอง ซึ่งทำให้เหล่านักเล่นโมเดลจำลองและเกมเมอร์หลายคน ต่างที่อยากจะลองสร้างคฤหาสน์ให้ตรงตามพิมพ์เขียวให้มากที่สุด ซึ่งพอเกมภาครีเมคปี2002 ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายจุด แต่ก็ไม่หลุดจากของเดิมในปี 1996 มากนัก
และสำหรับ Resident Evil : Welcome to Raccoon City ที่จะเป็นการเล่าตรงตามเนื้อเรื่องในเกมซึ่งแน่นอนว่า โจทย์ในการเลือกสถานที่จะเนรมิตให้เป็นคฤหาสน์สเปนเซอร์เป็นโจทย์ปราบเซียนยิ่งนัก แต่สำหรับผู้กำกับอย่าง โจฮันเนส โรเบิร์ตส์ ที่เจ้าตัวเป็นแฟนเกมตัวยงซึ่งเขาพร้อมที่จะถ่ายทอดให้ตรงกับต้นฉบับให้มากที่สุดและได้บรรยากาศเหมือนเล่นเกม โดยที่ทางทีมงานได้ประสานกับทาง Capcom เพื่อขอข้อมูลรวมถึงขอต้นแบบทั้งตัวคฤหาสน์และเมือง Raccoon City
สำหรับคฤหาสน์สเปนเซอร์ พวกเขาเลือกที่จะถ่ายทำที่ Scottish Rite Clubซึ่งให้บรรยากาศเหมือนต้นฉบับพอสมควร
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของคฤหาสน์สเปนเซอร์ หนึ่งในสถานที่สุดหลอนและเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวผีชีวะ Resident Evil แล้วเราจะได้กลับไปเยือนอีกครั้งใน ง Resident Evil Welcome to Raccoon City กับการกลับไปสู่ขนบของเกมที่มันส์และหลอนราวกับกำลังเล่นเกมอย่างแน่นอน…
@P.PETTY
ข้อมูลอ้างอิง
-หนังสือ Resident Evil พลิกแผ้มผีชีวะ พิมพ์ครั้งที่4
anook.com - /today.line.me twitter.com www.beartai.com www.thaibiohazard.com