Ogre King Episode Zero : Shadow of The Knight [Chapter 2]
01 มีนาคม 2560 18:00 น.
Share on FacebookTweet about this on TwitterShare on Google+

Ogre King EP0 Novel Title - CP2

 

Ogre King Episode Zero : Shadow of The Knight [Chapter 2]

เรื่อง : อรุณทิวา

ภาพประกอบ : มนตรี คุ้มเรือน

*** อัพเดทตอนใหม่ทุกวันพุธ ***

 

 

Chapter 2 ยักษ์ที่หายไป (1)

 

‘ไอยราห้าเศียร’

คือชื่อของหน่วยรบพิเศษที่ก่อตั้งมานานกว่า 100 ปี มีหน้าที่ในการต่อสู้ ปราบปราม จับกุมและสังหารเหล่ายักษ์ อสูรกาย ภูติผีปีศาจ ที่มารังควาญประชาชนในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา

 

หน่วยงานนี้ขึ้นตรงกับ ‘ท่านอำมาตย์สมิงดำ’ มีตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระมหากษัตริย์และที่ปรึกษาส่วนพระองค์

 

ผู้มีอำนาจรองจากอำมาตย์สมิงดำก็คือ ‘ตำแหน่งเจ้ากรมพิเศษผู้บัญชาการสูงสุดแห่งไอยราห้าเศียร’ คนในหน่วยจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า ‘บัลลังค์ผี’ เพราะจนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าเจ้าของตำแหน่งตัวจริงเลยแม้แต่คนเดียว

 

หลายคนลือกันไปว่านี่คือตำแหน่งที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งตัวจริง ตั้งเอาไว้ตามกฏหมายของอาณาจักร เพราะยังไงเสียอำมาตย์สมิงดำก็เป็นคนออกคำสั่งโดยตรงและอยู่บนยอดของสายบังคับบัญชาอยู่แล้ว แต่บางคนก็ลือกันไปว่าเจ้าของตำแหน่งยังมีชีวิตอยู่…แค่ไม่อยากเปิดเผยตัวตนก็เท่านั้นเอง

 

หน่วยไอยราห้าเศียรถูกแบ่งออกเป็น 5 หน่วยย่อย เรียกว่า ‘5 กองรบ’ ในแต่ละกองรบจะมีหัวหน้าอยู่ 1 คนและเรียงลำดับความเก่งกาจของกองรบจากน้อยไปหามาก

 

ข้าอยู่กองรบที่ 3 กองรบที่ได้รับสมญานามว่า ‘กองรบแห่งความตาย’ ฟังแล้วอาจดูเหมือนกองรบของข้าเก่งกาจน่ากลัว แต่มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย ที่ถูกเรียกว่ากองรบแห่งความตายนั่นก็เพราะกองรบที่ 3 คือกองรบที่มีสมาชิกในหน่วยตายมากที่สุด ไม่ว่าจะตายระหว่างการปฏิบัติหน้าที่หรือตายด้วยสาเหตุอื่น โดยเฉพาะผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้ากองรบ ไม่เคยมีใครที่จะมีชีวิตอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เกิน 2 ปีเลยแม้แต่คนเดียวและขุนเดชาคือหัวหน้ากองรบที่ 3 ที่อยู่ได้นานที่สุดคนนั้น

 

ด้วยเรื่องแบบนี้ เวลามีการเสนอชื่อแต่งตั้งคนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้ากองรบคนใหม่ จึงมีน้อยคนนักที่อยากเสนอตัวเองเข้ามาอยู่ในกองรบอาถรรพ์แห่งนี้ ว่ากันว่าสมาชิกในกองรบนี้ก็คือพวกนักรบไอยราห้าเศียรที่ไม่มีกองรบไหนอยากได้ เป็นพวกหัวดื้อ ไม่ค่อยฟังหัวหน้าหรือไม่ก็ส่อแววว่าจะสร้างปัญหาได้ในอนาคต

 

สมาชิกกองรบที่ 3 อย่างข้าและคนอื่นๆ มันก็เหมือนเด็กเกเรในสายตาของครูบาอาจารย์ในโรงเรียนนั่นเอง ไม่มีใครสนใจและอยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย

 

“ว่าไงนะ ทำไมข้าถึงขึ้นไปดูไม่ได้ ข้าเป็นคนจับมันมากับมือ!”

 

ข้าตะโกนถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่สีน้ำตาลแดงด้านหน้าบันไดทางขึ้น ‘หอคอยร้อยแปดอสูร’

 

หอคอยสูง 30 ชั้นแห่งนี้คือคุกที่ใช้สำหรับคุมขังยักษ์ที่หน่วยไอยราห้าเศียรจับกุมมาได้

 

ข้ารีบวิ่งมาที่นี่พร้อมกับเป้และดาบหนึ่งเล่มที่ติดตัวมาจากโต๊ะทำงาน เพราะรู้สึกสังหรณ์อะไรบางอย่างเมื่อมองเห็นเรือเหาะบินออกไปจากคุกยักษ์แห่งนี้

 

“ขึ้นไปไม่ได้ขอรับท่านรองฯ สิน ขณะนี้ด้านบนกำลังทำความสะอาดกันอยู่ ข้าเกรงว่าคงไม่สะดวกนัก”

 

“แต่ข้าอยากเห็นหน้ายักษ์ที่ฆ่าท่านขุนเดชาเท่านั้น ทำไมจะขึ้นไปไม่ได้ จะทำความสะอาดหรือไม่ทำมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกันอยู่แล้ว”

 

“เอ่อ ไม่ได้จริงๆ ขอรับ”

 

“ทำไม หรือว่ามีอะไรอีก?”

 

“คือท่านหัวหน้าผู้คุมมีคำสั่งให้ส่งเจ้ายักษ์ตัวนั้นไปทรมานในห้องมืดซึ่งก็คง…ดูลำบาก”

 

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

 

“ก็มันมืด…ขอรับ เลยดูลำบาก”

 

“บ๊ะ ไอ้นี่ จะบอกหรือไม่บอกว่ามันอยู่ห้องขังเลขที่เท่าไร!”

 

ข้าตะโกนถามเสียงดังลั่นจนผู้คุมหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับสะดุ้ง  

 

“ยะ…ยี่สิบสองทับสามขอรับ”

 

“ก็เท่านี้เอง จะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม?”

 

ไม่รอช้า ข้ารีบวิ่งขึ้นบันไดวนที่อยู่ทางด้านหลังของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นไปในทันที

 

 

ความจริงสภาพภายในของหอคอยร้อยแปดอสูรไม่ได้มีประตูลึกลับหรือมีประตูเหล็กหนา ใหญ่ ดูรัดกุมอะไรมากมายนัก ทางขึ้นก็แทบจะเปิดโล่ง เป็นบันไดขั้นใหญ่ๆ ทอดยาวขึ้นสู่ชั้นเบื้องบนทั้ง 30 ชั้น ทางเข้าออกดูตรงไปตรงมาและลึกลับน้อยกว่าคำว่า ‘คุก’ อยู่มากโขเลยทีเดียว

 

เหตุผลง่ายๆ ก็คือไม่มีใครที่สามารถย่างกรายเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้หากไม่ใช่เจ้าหน้าที่หน่วยไอยราห้าเศียรหรือคนสำคัญที่ได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการจริงๆ ยิ่งเป็นประชาชนคนทั่วไปคงไม่มีวันได้เข้ามาเหยียบแม้แต่กระเบื้องแผ่นแรกตรงหน้าประตูเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดมีใครกล้าทำแบบนั้นขึ้นมาคงได้หัวขาดตั้งแต่วินาทีแรกที่เท้าแตะพื้น

 

ข้าเคยได้ยินชาวเมืองพูดกันว่า ‘คุกแห่งนี้แม้แต่ผียังกลัว’ ซึ่งนั่นก็สมควรอยู่หรอก และถึงแม้หอคอยนี้จะมีกระเช้าพิเศษที่สามารถพาขึ้นชั้นสูงๆ ได้อย่างรวดเร็วแต่ข้าก็ไม่สามารถใช้งานมันได้ เหมือนอะไรหลายอย่างดูไม่ค่อยเป็นใจนักในเวลานี้ เพราะเมื่อข้าไปถึงก็มีป้ายแขวนเอาไว้ตรงลูกกรงเหล็กด้านหน้ากระเช้า ที่ป้ายมีลายมือเขียนเอาไว้ว่า ‘ปิดซ่อมบำรุงอย่างไม่มีกำหนด’

 

เป็นเรื่องตลกที่สถานที่ราชการในกรุงศรีอยุธยาหลายแห่งมักจะเจอเรื่องแบบนี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะในเวลาที่กำลังเร่งรีบ…

 

 

เสียงลมหายใจของข้าดังชัดเจนมากขึ้นสะท้อนก้องไปตามโถงบันไดอิฐสีน้ำตาลเข้ม ข้าวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดพัก ห้องขังหมายเลข 22/3 อยู่บนชั้นที่ 22

 

ข้ายังจำได้ดี การวิ่งขึ้นบันได 30 ชั้นคือหนึ่งในการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายของผู้เข้าสอบเป็นนักรบของหน่วยไอยราห้าเศียร การถือแท่งเทียนสีเหลืองที่ถูกจุดไฟ แล้ววิ่งขึ้นไปยังชั้นบนสุดของหอคอยแห่งนี้ พอไปถึงชั้นที่ 30 ก็ทำการประทับรอยฝ่ามือบนถาดน้ำมันสีดำเข้มแล้วก็วิ่งกลับลงมายังชั้น 1 ใหม่อีกครั้ง นอกจากความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจากเทียนที่หยดลงบนลงบนมือแล้ว การระวังไม่ให้เทียนดับก็คือหนึ่งในกติกาการสอบครั้งนั้นด้วย ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะต้องกลับลงมาโดยที่ยังมีเปลวไฟสว่างอยู่ที่ปลายเทียนและที่สำคัญคือยังไม่ขาดใจตายเสียก่อน

 

ในวันนั้นมีผู้เข้าทดสอบ 40 คน มีคนสอบผ่านแค่ 2 คน คือข้าและ ‘หญิงสาวผมสีแดงเข้มคนนั้น’

 

ข้าไม่รู้จักชื่อของเธอและก็น่าแปลกที่หลังจากการสอบวันนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นเธอที่หน่วยไอยราห้าเศียรอีกเลย

 

“หรือว่าเธอจะสอบไม่ผ่าน?”

 

นั่นก็เป็นคำถามที่ข้ายังคงติดค้างอยู่ในใจ

 

ป้ายหินแกะสลักบ่งบอกว่าชั้น 22 อยู่เหนือร่างข้าขึ้นไปอีกแค่ไม่กี่ขั้นบันไดเท่านั้น ข้าก้าวมาถึงชั้นนี้ได้ในที่สุด ความเหนื่อยและอ่อนล้าจากการวิ่ง ทำให้ข้ารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง หัวเข่ารู้สึกปวดระบม มันทำให้ข้ารู้ตัวว่าที่ผ่านมาข้าฝึกฝนร่างกายมาน้อยเกินไป

 

หลังจากหอบไปได้สักพัก ข้ายืดตัวขึ้นเงยหน้ามองเข้าไปยังคุกขนาดใหญ่ที่เรียงรายแบ่งแยกเป็นห้องอยู่ข้างหน้า ภาพที่ข้าเห็นไม่ชัดเจนนักเพราะบนชั้นที่ 22 นี้มีแสงไฟอยู่แค่บริเวณประตูทางเข้าที่แยกออกมาจากบันไดเท่านั้น ข้าค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน มันมืดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่พริบตาเดียว ความร้อนในตัวข้าก็พลันหายไปจนหมดสิ้นและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก

 

ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเริ่มครอบงำข้า “ต้องตั้งสติ” ข้าบอกกับตัวเองก่อนจะถอยหลังกลับไปไม่กี่ก้าวแล้วหยิบเอาตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงเสาเหล็กใกล้กับประตูมากุมเอาไว้

 

แสงสว่างทำให้มนุษย์รู้สึกปลอดภัยในความมืดเสมอ…

 

เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองมองไม่เห็นหรือการไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ข้าไม่ได้รู้สึกกลัว ข้าเพียงแค่ต้องการความมั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ข้าต้องอยู่ในสถานการณ์ที่รับมือกับมันได้และมีความพร้อมมากพอที่จะตอบโต้กลับไปได้อย่างทันท่วงที แน่นอนว่าดาบที่แขวนอยู่ข้างกายของข้ามันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ

 

ข้าก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ระหว่างนั้นก็เอาแสงไฟจากตะเกียงจ่อเข้าไปใกล้ๆ กับกลอนรูปหน้ายักษ์ที่อยู่ตรงกลางลูกกรงเหล็กเส้นหนา ข้าส่องไฟเลขห้องขังดูทีละห้องเพื่อตามหาหมายเลข 22/3

 

‘ห้องขังยักษ์’ แต่ละห้องจะมีขนาดใหญ่โตกว่าห้องขังที่ใช้ขังมนุษย์ เพราะขนาดของยักษ์จะสูงใหญ่กว่ามนุษย์ประมาณ 3-5 เท่า นั่นทำให้นอกจากขนาดของห้องขังจะต้องกว้างใหญ่แล้ว ตัวห้องเองก็ต้องมีความแข็งแรงมากเป็นพิเศษอีกด้วย พ่อข้าเคยเล่าให้ฟังสมัยที่ข้ายังเด็กๆ ว่าหอคอยขังยักษ์แห่งนี้สร้างขึ้นมาจาก ‘หินอัคนี’ ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับหินที่ใช้สร้างรูปปั้นช้างไอยราห้าเศียร นั่นก็คือเป็นวัสดุที่แข็งแกร่งมากและต่อให้ยักษ์มีพละกำลังมากแค่ไหนก็ยากที่จะทำลายได้

 

การแหกกรงเหล็กเพื่อหนีออกไปก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า เมื่อกรงเหล็กถูกลั่นกลอนเอาไว้ด้วย ‘แร่กายสิทธิ์อังกูร’ สิ่งที่ยักษ์เกลียดและหวาดกลัวที่สุด ลองพวกมันได้เข้าใกล้คงได้ดิ้นพล่านทุรนทุรายตายก่อนสัมผัสลูกกรงเป็นแน่ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ในประวิติศาตร์ตั้งแต่หอคอยร้อยแปดอสูรถูกสร้างมา ยังไม่เคยมียักษ์ตนใดสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้เลยแม้แต่ตนเดียว

 

 

พื้นหินที่เย็นยะเยือกแถมยังมีกลิ่นสาบยักษ์ลอยคละคลุ้งไปทั่วทำให้บรรยากาศบนชั้น 22 ไม่ค่อยน่าอภิรมณ์เท่าไรนัก

 

“ไหนเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่าชั้นนี้กำลังทำความสะอาดกันอยู่ ไม่เห็นจะมีใครซักคน? เงียบอย่างกะป่าช้าไม่มีผิด”

 

ข้าเอาไฟส่องเข้าไปดูตามห้องขังแต่ละห้องจนเกือบจะครบ ห้องขังของที่นี่จะถูกแบ่งแยกซ้ายขวาเรียงเป็นแนวยาวและมีทางเดินอยู่ตรงกลาง หมายเลขห้องจะแบ่งเป็นเลขคู่และเลขคี่แยกกันเป็นฝั่งใครฝั่งมันอย่างชัดเจน ซึ่งห้องที่เลขน้อยที่สุดจะอยู่ด้านใน

 

“แปลก ไม่มียักษ์ตัวอื่นถูกขังอยู่บนชั้นนี้เลยเรอะ?”

 

ข้าพึมพำกับตัวเองเพราะไม่ปรากฏเสียงของเหล่ายักษ์ที่ถูกคุมขังดังขึ้นมาเลยสักแอะ ซึ่งมันผิดวิสัยของเจ้าพวกนี้เป็นอย่างมาก ข้าก้าวเท้ายาวขึ้นพลางยกตะเกียงส่องดูตามห้องไล่ไปเรื่อยๆ จากข้างนอกจนไปถึงข้างใน จนในที่สุดก็ถึงสุดทางเดิน ก่อนจะถึงห้องขังสุดท้ายหมายเลข 22/1 มันคือห้องขังหมายเลข 22/3

 

“ไม่มี!”

 

ข้ายื่นตะเกียงเข้าไปใกล้ๆ ห้องขังจนแสงตะเกียงสว่างไปถึงผนังห้องด้านหลังสุด แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดปรากฏอยู่ในห้องขังหมายเลข 22/3 เลยแม้แต่ลมหายใจเดียว

 

“ไม่เห็นมียักษ์อยู่ในห้องเลย นี่มันหมายความว่ายังไง? หรือว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นโกหกเรา”

 

พรึบ!

 

เสียงลมพัดวูบจนแสงสว่างบนตะเกียงข้าดับไป

 

ความมืดเข้าปกคลุมทั้งชั้น 22 ในระยะที่สายตาข้าเคยมองเห็นในทันที ขนแขนของข้าลุกซู่ เป็นสัญญาณเตือนภัยที่บอกข้าว่า มันมาแล้ว ‘อันตราย’

 

ไม่ทันไรร่างของข้าก็ถูกดึงรั้งจากด้านหลัง มันกระชากเป้ที่ข้าสะพายอยู่พร้อมร่างของข้าให้กระเด็นลอยออกมาจากห้องด้านในและกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง ข้ารีบขยับตัวลุกขึ้น แต่ช้าไปแล้ว มันเสยหมัดเข้าที่แก้มขวาของข้าจนเลือดไหลกระเซ็นออกมาและร่างของข้าก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น ในความมืด ‘มัน’ ถือไพ่เหนือกว่าข้า

 

“ไอ้ผีชั้นต่ำ!”

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

 *** อัพเดทตอนใหม่ทุกวันพุธ ***

 

————————————-

 

 

เปิด PRE-ORDER เร็วๆ นี้ หนังสือ OGRE KING EP.ZERO Shadow of the knight (ฉบับนิยาย)

 

ติดตามข่าวสารและอัพเดทเรื่อง OGRE KING อหังการ์ราชันย์ยักษ์

ได้ที่เฟซบุ๊คเพจ https://www.facebook.com/ogrecomics