“ฮัลลี เบอร์รี” เผชิญอสุรกายมนุษย์ครึ่งงู
ในตัวอย่างแรก “Never Let Go” ภาพยนตร์โลกล่มสลาย
ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับ Crawl
ระทึกทุกโสตประสาท กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
ปลายปีนี้ คอหนังชาวไทยเตรียมสัมผัสที่สุดของความระทึกขวัญ! ล่าสุด “มงคลเมเจอร์” และ “ไลออนส์เกต” ได้ปล่อยตัวอย่างแรกของ “Never Let Go” ภาพยนตร์ทริลเลอร์สุดสยองผลงานล่าสุดของนักแสดงหญิงแกร่งผู้ชนะรางวัลออสการ์ “ฮัลลี เบอร์รี” (Monster’s Ball, John Wick: Chapter 3) และผู้กำกับ “อเล็กซานเดอร์ อาจา” จากหนังไอ้เข้โหด “Crawl” (2019) แท็กทีมผู้อำนวยการสร้างจากซีรีส์สุดฮิต “Stranger Things” (2016) กับเรื่องราวเขย่าขวัญแทบหยุดหายใจ
เมื่อโลกล่มสลาย ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยอันตรายและปีศาจร้ายคอยจับจ้อง ถ้าอยากมีชีวิตรอด “จงอย่าปล่อยเชือก” นี่คือกฎสำคัญของ “Never Let Go ผูกเป็น หลุดตาย” ภาพยนตร์ระทึกขวัญฟอร์มเยี่ยมที่ได้นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง “ฮัลลี เบอร์รี” มารับบท “แม่” ผู้ต้องเผชิญหน้าทุกความชั่วร้ายเพื่อปกป้อง “ลูกชายฝาแฝด” ของเธอ โดยมีเพียง “เชือก” ที่ผูกติดกันไว้ระหว่างพวกเขาและตัวบ้านเท่านั้นที่จะช่วยให้ยังคงอยู่รอดจากเงื้อมมือปีศาจร้ายที่เตรียมเข้าถึงตัว
พวกเขาคือครอบครัวเดียวที่อาศัยอยู่ในบ้านกลางป่าโบราณซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายที่แฝงกายอยู่ล้อมรอบ กฎเหล็กที่ต้องยึดถือและจำให้มั่นเพื่อให้ทุกคนปลอดภัยหากต้องออกเผชิญโลกภายนอกนั่นคือ
“มัดเชือกให้แน่นหนาและปลอดภัย, ห้ามปล่อยเชือกเด็ดขาด, อย่าเชื่อทุกอย่างที่ตาเห็น, ยิ่งมืดมิดปีศาจยิ่งแข็งแกร่ง, สวดคำศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้งเมื่อกลับถึงบ้าน”
และจงจำไว้เสมอว่า “หากไร้เชือกคือไร้ชีวิต” เพราะสัมผัสเดียวจากพวกมันจะนำมาซึ่งหายนะ ยิ่งโลกมืดมิด พวกมันยิ่งแข็งแกร่งทวีคูณ
ความรู้สึกหลังรับชม
ตัวภาพยนตร์ ถ่ายทอดเรื่องราวความตึงเครียด กดดัน และความน่ากลัวสยองขวัญเหนือธรรมชาติ ผสานกับแนวจิตวิทยาออกมาได้น่าสนใจมากๆ ตลอดเวลาที่ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องไป เราจะตั้งคำถามกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในทุกๆอีเว้นท์ของเรื่องว่า “มันจริงหรือเปล่าวะ” แนวๆนี้…ยันจบเรื่อง
จัดว่าเป็นผลงานรีดเค้นฝีมือในการไกด์ไลน์วิสัยทัศน์ของ “อเล็กซองดร์ อาฌา” และ บทภาพยนตร์ของ KC คัฟลิน (KC Coughlin) กับ ไรอัน กลาสบี (Ryan Grassby) ที่เลือกเอาการสะท้อนเรื่องราวของคนเป็นแม่ ที่ปลูกฝังลูกด้วยคำสอน แต่ลูกๆก็อยากจะนอกกรอบ แหกกฎที่แม่ตั้งขึ้น เพราะลูกๆเองก็ไม่ได้เห็นโลกแบบที่แม่เห็น ทำให้เกิดด้วยความอยากรู้อยากลอง ที่ตั้งอยู่บนบรรทัดฐานของ “ความไม่เชื่อ” (เพราะลูกไม่เคยเจอ) และ “ทำไมต้องเชื่อ” (เพราะแม่เอาแต่พูดเรื่องเดิมๆกรอกหูทุกวันแบบไร้เหตุผล) ซึ่งถือเป็นการหยิบเอาปมของครอบครัวหลายๆครอบครัวในชีวิตจริง มาต่อยอดเป็นภาพยนตร์สยองขวัญเชิงจิตวิทยา พร้อมจังหวะการเล่าเรื่องที่ส่วนตัวถือว่า คมกริบมากๆ
และอย่างที่บอกครับ ว่าตัวบท ชวนให้เราตั้งคำถามว่า “อะไรจริงไม่จริง” และเราไม่ได้คำตอบที่ชัดและเคลียร์ แม้จะจบเรื่อง เดินออกจากโรง ก็ยังค้างในหัวอยู่ดี…
เรื่องราวในเรื่อง คือ ป่า และ บ้านกลางป่า ที่มีแม่ลูกอาศัย พร้อมกับคำบอกเล่าจากปากแม่ว่า โลกล่มสลายแล้ว เพราะมีปีศาจออกอาละวาดจนคนทั้งโลกไม่เหลือ และมีแค่แม่ และลูกชายฝาแฝดเท่านั้นที่รอดมาได้ ทำให้ต้องเอาตัวรอด หาอาหาร ในป่าสารพัดสิ่ง โดยต้องผูกเชือกไว้ที่เอวก่อนออกจากบ้าน ที่แม่บอกว่า นี่คือ บ้านที่มีพลังงานศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง พร้อมเชือกที่ปีศาจจะไม่เข้ามายุ่ง…
แต่จนแล้วจนรอด ก็เกิดเรื่องราวต่างๆที่ชวนให้ “เอ๊ะ” หลายต่อหลายครั้ง…และนำไปสู่บทสรุปที่ ผู้ชมแต่ละคน ก็จะมีธงในใจเป็นของตัวเองหลังเดินออกจากโรงแน่นอน…
ตัวภาพยนตร์แบ่งออกเป็น สามองก์ (พร้อมชื่อตอนกำกับ) ก็ชวนให้นึกถึงนิยายสั้นๆซักเรื่อง และถือเป็นความฉลาดในการ “สร้างกรอบเพื่อการสโคปเนื้อหา” บทนี้ จะเล่าถึงอะไร และบทนี้กำลังจะสื่ออะไร นั่นคือข้อดีที่ทำให้แต่ละตอนถูกวางกรอบไม่ให้ออกนอกประเด็นด้วยความมันส์มือของทีมงานผู้สร้าง และสามารถพาไปถึงบทสรุปเรื่องแบบไม่หลุดโฟกัส
บทภาพยนตร์โดยรวม ไม่ใช่หนังสะดุ้งตุ้งแช่ (แม้จะมีบ้าง) เน้นหนักไปที่การใช้เสียง บรรยากาศ ความอึมครึม กดดัน พร้อมโครงเรื่องที่จัดว่า (ถึงแม้บางอย่างมันยังขยี้ได้อีกก็ตาม) และเปลี่ยนให้กลายเป็นเรื่องราวระทึกขวัญ ที่ชวนหน่วงจิตใจ อึดอัด มากๆ ซึ่งถ้าใครอยากหาความเอนจอยในชีวิต ดูง่ายๆ ย่อยง่ายๆ หรืออะไรที่ไม่ต้องคิดเยอะ ข้ามภาพยนตร์เรื่องนี้ไปได้เลย
แต่ถ้าคุณชอบตั้งคำถาม หรืออยากได้ภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่องที่ดี ตัวละครที่ซับซ้อน นักแสดงเล่นถึงบทบาทได้ดีมากๆล่ะก็…
อย่าปล่อยภาพยนตร์เรื่องนี้หลุดมือครับ
—แอดมิน AK47—
เปิดวิสัยทัศน์ความระทึกสุดสยองของเจ้าพ่อหนังเอาตัวรอด “อเล็กซองดร์ อาฌา” ก่อนเผชิญสิ่งชั่วร้ายในโลกหลังหายนะที่คุณอาจต้องหยุดหายใจ
“อเล็กซองดร์ อาฌา” ถือเป็นผู้กำกับที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างวิสัยทัศน์ให้กับภาพยนตร์สยองขวัญยุคใหม่ โดยเฉพาะผลงานทริลเลอร์สุดโหดจากประเทศฝรั่งเศสอย่าง “High Tension” (2003) ที่พลิกโฉมวงการหนังแนวสแลชเชอร์ไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะเลือกนำเสนออัตลักษณ์ทางเพศ แต่หนังก็เต็มไปด้วยความรุนแรง กล้าตีความหนังสแลชเชอร์ในทิศทางใหม่ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อแฟนหนังหลายๆ คน
นอกจากนี้เขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นเสาหลักของ “New French Extremity” กลุ่มภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งผู้กำกับได้สร้างภาพยนตร์สยองขวัญที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ เพื่อสะท้อนถึงความไร้เหตุผลและความสิ้นหวังในยุคนั้น ตั้งแต่นั้นมาอาฌาได้ฝากผลงานภาพยนตร์ไว้อีกมากมายหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นหนังสัตว์ประหลาด “Piranha 3D” (2010), หนังสยองแฟนตาซี “Horns” (2013) รวมถึงหนังระทึกขวัญเอาตัวรอด “The Hills Have Eyes โชคดีที่ตายก่อน” (2006), “Crawl คลานขย้ำ” (2019) และ “Oxygen” (2021)
และล่าสุดกับหนังระทึกขวัญสุดสยองแห่งปี “Never Let Go ผูกเป็น หลุดตาย” ที่ผู้กำกับอาฌาเลือกประเด็นวันสิ้นโลกและความเป็นพ่อแม่มานำเสนอในโปรเจกต์หนังเอาตัวรอดเรื่องใหม่นี้ที่เล่าเรื่องราวของโลกที่เต็มไปด้วยหายนะเมื่อปีศาจร้ายเข้ายึดครองทุกพื้นที่ให้กลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย ผู้เป็น “แม่” (รับบทโดย “ฮัลลี เบอร์รี” นักแสดงตัวแม่รางวัลออสการ์) จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง “ลูกแฝด” ของเธอให้มีชีวิตรอดต่อไป โดยตั้งกฎสำคัญห้ามฝ่าฝืนนั่นคือต้องผูกเชือกที่ยึดติดกับบ้านไว้ตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน หากเชือกหลุดจะตกเป็นเหยื่อของปีศาจร้ายที่จ้องขย้ำอยู่ด้านนอก
จุดเริ่มต้นของการก้าวเท้าเข้าสู่ป่ามรณะของ “Never Let Go”
ตอนนั้นผมกำลังเริ่มมองหาโปรเจกต์ใหม่ ผมอ่านบทมาแล้วมากมาย ผมจำได้ว่าตอนอ่านเราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อเปิดบทอ่านเรื่องไหนจะเป็นเรื่องที่ใช่ แต่ผมเชื่อว่าคุณต้องตกหลุมรักเนื้อหาของมันก่อนเสมอก่อนที่จะลงมือทำ ซึ่งบทของ “Never Let Go” ที่เขียนโดย “เคซี คัฟลิน” และ “ไรอัน กราสส์บี” มันไม่ใช่แค่บาดใจแต่ยังเต็มไปด้วยความน่าสงสัย บทภาพยนตร์นี้ลึกซึ้งทั้งในแง่ของจิตวิทยา และสอดคล้องกับช่วงเวลาที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เรื่องราวของแม่ที่พยายามปกป้องลูกๆ ของเธอในโลกที่สูญสลายไปแล้ว เด็กคนหนึ่งเชื่อทุกอย่างที่แม่บอก ส่วนอีกคนตั้งคำถาม มันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจผมมานานแล้ว ซึ่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่ทำให้สามารถกลับมาพูดว่า “โอ้ นี่คือเหตุผลที่ฉันทำเรื่องนี้” และเป็นแรงผลักดันช่วยให้คุณมีแพสชันที่จะสู้เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ได้
“Never Let Go” เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่แบ่งแยกความขัดแย้งระหว่างระหว่างคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ระหว่างคนที่กังขาและคนที่เลื่อมใส คำถามที่ว่าปีศาจคืออะไรและมาจากไหน และการที่มันฉลาด, อดทน, สามารถจำแลงเป็นอะไรก็ได้เพื่อปั่นหัวคุณ มันน่าสนใจ ผมหวังว่าผู้ชมจะได้ถกเถียงกันว่าปีศาจนั่นคืออะไรกันแน่
การเผชิญหน้ากับความกลัวในฐานะพ่อแม่
“Never Let Go” ทำให้ผมได้สำรวจการเป็นพ่อแม่ การปกป้องลูกๆ และอันตรายจากการโอ๋ลูกจนเกินไป นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผม ผมต้องการสำรวจประเด็นที่พ่อแม่สามารถเป็นคนที่ห่วงใยและรักลูกๆ ของเขามากที่สุด ในขณะเดียวก็เป็นภัยคุกคามซึ่งอันตรายที่สุดได้เช่นกัน
การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านโลเคชันที่อยู่ในป่าลึก และการทำงานร่วมกับตากล้องคู่ใจเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับผมการทำหนังสักเรื่อง ขั้นแรกคือการใช้เวลารีไรต์บทหรือพัฒนาบทให้ไปในทางที่ตรงกับภาพในหัวของผม จากนั้นก็เลือกทีมงานที่จะทำภาพนั้นให้เป็นจริงได้ ซึ่งหลังจากทำงานมาหลายปีในที่สุดเราจะพบคนที่ทำงานเข้าขากับคุณได้เอง นี่คือเหตุผลที่ผมและ “มักซีม อเล็กซองดร์” จับมือกันสร้างสไตล์ภาพเฉพาะตัวออกมาได้ เราทั้งสองคนเคยทำงานร่วมกันมาแล้ว 16 เรื่อง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับ “Never Let Go” เพราะจำนวนต้นไม้และป่าที่เป็นฉากหลักในครั้งนี้ ผมกังวลมากว่าเราจะถ่ายทำในป่ากันยังไง เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเราสามารถ่ายทอดสิ่งที่ตั้งใจได้อย่างชัดเจนท่ามกลางต้นไม้หนาแน่นขนาดนั้น นั่นคือเหตุผลที่เราเลือกถ่ายด้วยกล้อง 65 มม. เพราะมุมภาพมันกว้างกว่า เต็มตากว่า แต่ก็ยังมีคุณลักษณะสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือมันมอบบรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกนิทานแต่ไม่หลุดจากความเป็นจริง ผมไม่อยากให้มันแฟนตาซีเกินไป ผมอยากให้ผู้ชมอินกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เหมือนผูกตัวติดไปกับตัวละคร
การทำงานร่วมกับ “ฮัลลี เบอร์รี” นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์
ครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน เธอกังวลมากว่าผมจะมองเรื่องนี้ในแนวทางที่แตกต่างออกไป ผมไม่พร้อมที่จะสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่ทำให้มันเป็นเรื่องที่โดดเด่น ซับซ้อน แต่เรียบง่ายในขณะเดียวกัน เธอกลัวว่าผมจะทำมันออกมาให้กลายเป็นเอาใจสตูดิโอ ซึ่งโชคดีที่ผมและเบอร์รีมองภาพตรงกันตั้งแต่แรก โดยเราทั้งสองอยากให้หนังออกมาดิบกระแทกใจ
ถ้าผมบอกว่ามันดิบกว่า ไม่ใช่เพราะหนังโหดเลือดสาด น่ากลัว หรือรุนแรง แต่เป็นเพราะประเด็นที่มันนำเสนอและความจริงที่ว่าตัวละครของ “ฮัลลี เบอร์รี” ไม่ใช่ตัวละครที่คนคาดหวังว่าเธอจะเป็น ตัวละคร “แม่” ที่เธอนำแสดงมันมีหลายมิติ ซึ่งเธอมองตัวเองว่าเป็นแม่ที่รักลูกเหนือสิ่งใดและต้องการปกป้องพวกเขา แต่ความรักนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เธอปกป้องลูกมากเกินไป เข้มงวดเกินพอดี ซึ่งนั่นกลับทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ความรู้สึกที่ซับซ้อนของคุณในฐานะพ่อแม่เป็นประเด็นที่เบอร์รีอินมาก ซึ่งเธอกลัวเราจะลืมสิ่งนั้นไปในระหว่างการพัฒนา ยิ่งเราทำงานร่วมกันมากเท่าไร เธอยิ่งเข้าใจว่านี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ผมกำกับเรื่องนี้ และนั่นทำให้เราสนิทสนมกันมากขึ้น ทำงานเข้าขากันขึ้นไปอีก
ทำไมถึงสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดของตัวละครผู้หญิง
ผมว่าการที่ผลงานของผมมีตัวละครแบบนี้หลายตัวคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมจำตอนที่อ่านบท “Crawl” เมื่อหลายปีก่อนได้ มันเป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องช่วยชีวิตพ่อตัวเอง พูดตรงๆ ผมไม่ได้มองมันเป็นแบบนั้น ผมอ่านมันเหมือนเป็นตัวผมเองที่พยายามไปช่วยพ่อ เหมือนกับตอนที่ผมเขียนบท “High Tension” หรือ “Oxygen” มันเป็นสัญชาตญาณที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครและมองข้ามผ่านเรื่องเพศไปเลย ผมพบว่าตัวเองอินกับตัวละครเหล่านี้ เพราะเข้าใจพวกเธอ เข้าใจการต่อสู้และเรื่องราวของพวกเธอ
การปลดแอกตัวเองและการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดในฐานะผู้กำกับ
มันเป็นช่วงเวลาที่น่าทึ่งเมื่อคุณมีลูก คุณเหมือนได้ย้อนกลับไปยังวัยเด็กของตัวเองอีกครั้งผ่านการดูภาพยนตร์เก่าๆ ค้นพบภาพยนตร์เรื่องเดิมอีกครั้งไปพร้อมกับลูกของคุณ การเป็นพ่อแม่สำหรับผู้กำกับแล้ว มันเหมือนกับการกดปุ่มรีเซตที่ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่เพื่อรีเฟรชแนวทางการสร้างภาพยนตร์ของคุณใหม่ ถ้ามองเผินๆ “Never Let Go” เหมือนนำเสนอในรูปแบบของหนังสยองขวัญเอาตัวรอดทั่วไป แต่จู่ๆ มันก็แหวกเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องไหนมาก่อน หลังจากอ่านบทผมตกหลุมรักเรื่องราวที่ว่าด้วยความหมายของการเป็นพ่อแม่คน แต่ยังรวมถึงความรู้สึกของการเป็นลูก รวมทั้งการรับมือกับสิ่งเร้นลับที่อยู่ภายนอก ความเชื่อและไม่เชื่อ ยิ่งลึกซึ้งมากเท่าไร มันยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น ไม่ใช่แค่สะดุ้งเพราะจัมป์สแกร์ (Jump Scare) แต่มันยังเป็นความสยองทางจิตวิทยาซึ่งเชื่อมโยงกับการเป็นพ่อแม่ด้วย
เมื่อความชั่วร้ายล้อมรอบ มีเพียง “เชือก” เท่านั้นที่จะทำให้เราพ้นนรก! เตรียมระทึกสุดขีดไปกับ “Never Let Go” ภาพยนตร์เอาตัวรอดสุดสยองแห่งปี ผลงานชิ้นใหม่จากผู้กำกับ “Crawl” หนึ่งกฎสำคัญ จงจำให้ขึ้นใจ “ผูกเป็น หลุดตาย” 19 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
#หนังใหม่ #NeverLetGo #มงคลเมเจอร์ #MongkolMajor #MongkolCinema
-
BEYBLADE X : 10 ตัวน่าซื้อ ของมันต้องมีในปี 2024
#beybladex #kctoysbeybladex #beybladexthailand
-
KARATE KID: LEGENDS [เรื่องย่อ / ตัวอย่าง / หนังใหม่ /2025]
#KarateKidMovie #KarateKi #เฉินหลง #JackieChan
-
20 ตัวละครจากเกมยอดนิยมที่ถูกค้นหามากที่สุดในเวปไซต์สำหรับผู้ใหญ่ 2024
#Ranking #website #Games #PC #Console