Metro Exodus
ประเภท : FPS / Openworld
เครื่อง : PC / Ps4 / XboxOne
พัฒนาโดย : 4A Games
วันวางจำหน่าย : 15 กุมภาพันธ์ 2019
“ถึงประชาชนชาวมอสโคที่รักทั้งหลาย และผู้มาเยือนเมืองหลวงของเรา รถไฟใต้ดินมอสโค คือรูปแบบหนึ่งของระบบขนส่งที่มีอันตรายที่สุด”
-จากป้ายประกาศในสถานีรถไฟใต้ดิน บทเกริ่นนำของนวนิยายชุด Metro 2033-
Metro 2033 (เมโทร 2033) คือผลงานที่ ดมีตรี กลูฮอฟสกี (Dmitry Glukhovsky) นักประพันธ์ชาวรัสเซียสร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการ โดยเนื้อหาของนวนิยายเรื่องดังกล่าว จะเล่าถึงโลกที่พินาศย่อยยับจากการทำสงครามนิวเคลียร์ จนไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไป มีที่เดียวที่มนุษย์พอจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยคือ “โลกใต้ดิน” ผลพวงของนิวเคลียร์ ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องทิ้ง ‘บ้าน’ ของตนบนผิวโลก ปล่อยให้เป็นที่อยู่ของสัตว์กลายพันธุ์นานาชนิด โดยจะเล่าผ่านมุมมองของ “อาร์ตียอม” (Artyom) ชายหนุ่มผู้เติบโตขึ้นมาในโลกใต้ดินที่ได้รับมอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่ในการรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้อยู่รอด และต้องเสี่ยงชีวิตเดินทางผ่านอุโมงค์มืดมิดโดยไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไร รออยู่ข้างหน้า
จุดเริ่มต้นของ METRO รัฐใต้ดินหลังสงครามนิวเคลียร์
ในปี 2013 โลกเกิดสงครามนิวเคลียร์อย่างหนักหน่วง และเป็นเหตที่ทำให้ชาวมอสโกจำนวนมากที่รอดชีวิต ย้ายถิ่นฐานไปยังสถานีรถไฟใต้ดินใต้ดินเพื่อค้นหาที่หลบภัย ในที่สุดชุมชนมนุษย์ผู้เหลือรอดได้ตั้งถิ่นฐานภายในสถานีรถไฟใต้ดินและพัฒนาเป็นรัฐอิสระ
สัญลักษณ์เรียงจากซ้ายไปขวา Rangers / Red Line / Fourth Reich (ในนิยายใช้ตราสวัสดิกะ 3ขา) / Polis / Hanza
เมื่อเวลาผ่านไป มีกลุ่มโผล่ออกมามากมายจากการตั้งตัวเป็นผู้รักษาสันติภาพ “Rangers ” / ฝ่ายคอมมิวนิสต์เก่า “Red Line” / ลัทธิฟาสซิสต์ “Fourth Reich” / กลุ่ม “Polis” ซึ่งมีอำนาจทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และ ความรู้ที่ผ่านมามากที่สุด / “Hanza” ซึ่งควบคุมวงแหวนหลักของสถานีรถไฟใต้ดินด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เริ่มมีวิวัฒนาการ “Red Line”และ “Fourth Reich” เข้าสู่สงครามอย่างรวดเร็ว เมื่อสงครามโหมกระหน่ำ สถานีที่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมทั้งสองฝ่ายต่างก็พังยับเยินจากกลุ่มที่ก่อสงคราม บีบให้ “Hanza” เข้าสู่ระบอบการปกครองก่อตั้งรัฐอิสระขึ้นเอง สถานีอื่น ๆ ถูกทำลายโดยเหล่าทหารที่กำลังสู้รบ กับมอนสเตอร์กลายพันธุ์ที่เกิดจากการระเบิดของนิวเคลียร์
ในขณะที่สถานีส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดย 3 กลุ่มหลัก บางสถานีจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรที่เป็นอิสระ ไม่เข้าสงครามฝ่ายที่ตึงเครียด รวมถึง สถานี VDNKh อันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว…
VDNKh
**สถานีรถไฟใต้ดิน ในรัสเซีย ถือว่าเป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ อลังการมาก ด้วยพลังของรัสเซียในสมัยที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต (USSR) จึงได้โหมสร้าง พัฒนาสาธารณูปโภคประเภทรถไฟ, รถไฟใต้ดินกันเป็นการใหญ่ มักจะสร้างให้ลึกจากพื้นผิวโลกแบบลึกมาก (นึกภาพ MRT ที่ลึกว่า 3-4 เท่า) และพี่แกชอบสร้างให้มันเป็นโถงขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างสวยงามฟู่ฟ่าราวกับหอศิลป์ด้วย
ส่วนคำว่า VDNKh อ่านออกเสียง วีดีเอ็นคา หรือ วดินค์ (Vystavka Dostizheniy Narodnogo Khozyaystva – หมายถึง “นิทรรศการความสำเร็จของเศรษฐกิจแห่งชาติ” ความรุ่งเรืองของระบบเศรษฐกิจ)
Metro 2033
เรื่องราวจะเล่าถึง “อาร์ตียอม” (Artyom Alekseyevich Chyornyj) ชายหนุ่มอายุ 24 เป็นคนที่เกิดก่อน “หายนะนิวเคลียร์ล้างโลก” เขาได้รับการช่วยเหลือจากฝูงหนูกลายพันธุ์ที่กินเนื้อเป็นอาหารที่ได้ฆ่าแม่ของเขาและผู้อยู่อาศัยในสถานีคนอื่นๆตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่โชคดี ที่อาร์ตียอมถูกช่วยชีวิตโดย “ซักฮอย”(Sukhoi) นายทหารของ VDNKh ที่กำลังลาดตระเวณ และรับเลี้ยงอาร์ตียอมในฐานะลูกบุญธรรม
อาร์ตียอมเติบโตใน VDNKh หนึ่งในสถานีรถไฟใต้ดินกรุงมอสโก ที่ยังมีผู้คนอพยพลงมาและใช้เวลาของเขาในการลาดตระเวนในอุโมงค์พร้อมๆกับทำงานในโรงงานเพาะเห็ด
อาร์ตียอมพบชายคนหนึ่งชื่อ“ฮันเตอร์” ที่กำลังตามหาสหาย ซักฮอย ทั้งสามได้พบปะและหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ใน VDNKh โดยมีใจความว่า VDNKh กำลังเผชิญหน้ากับการโจมตีที่เพิ่มขึ้นจากสิ่งมีชีวิตลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ “The Dark Ones” ซึ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวแก่ผู้คนไปทั่วทั้งสถานี ก่อนฮันเตอร์จะกลับ เขาได้กล่าวกับอาร์ตียอมว่า เมื่อ 10 ปีก่อนเขาและเพื่อนของเขาไปที่ผิวโลก ในจุดที่ใกล้เคียงสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งพวกเขาไม่สามารถปิดประตูทางออก หลังจากที่พวกเขามาถึงและทำให้พวก Dark Ones ได้ใช้ประตูทางเข้ารถไฟใต้ดินนี้นับแต่นั้นมา ฮันเตอร์ยังบอกอาร์ตียอมว่าเขาตั้งใจจะรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Dark Ones ให้มากที่สุด และในกรณีที่เขาไม่กลับมา อาร์ตียอมต้องนำข้อมูลเหล่านี้ไปบอกแก่ “เมลนิค”(Melnik) ที่ สถานี Polis พร้อมกับข่าวภัยคุกคามดังกล่าว อาร์ตียอมยินดีช่วย
“ข่าน” ผู้ที่อ้างตัวว่าหยั่งรู้พยากรณ์ แต่ดูทรงแล้วออกแนวเมาเนื้อมากกว่า
อาร์ตียอมเริ่มเดินทางไปยังศูนย์กลางของรถไฟใต้ดิน สหายคนแรกของเขาคือ บูร์บอง (Bourbon) ถูกฆ่าโดยกองกำลังพลังจิตที่ถูกส่งผ่านท่อ และอาร์ตียอมได้ถูกชี้นำโดย ข่าน (Khan)
กองกำลัง Fourth Reich
ข่าน พาเขาไปที่ Kitai-Gorod ซึ่งถูกควบคุมโดยแก๊งอาชญากร แต่พวกเขาก็แยกกันระหว่างการโจมตีโดยกองกำลัง Fourth Reich และอาร์ตียอมถูกจับกุม โดยมีโทษประหารรออยู่ข้างหน้า ซึ่งก่อนการประหารอาตียอม ก็ได้มีกลุ่มคณะปฏิวัติ Red Line เข้ามาขัดจังหวะ อาร์ตียอมจึงถูกทิ้งไว้ที่สถานี Paveletskaya แล้วหนีออกมาได้และเส้นทางของเขาไปยังสถานี Polis ก็ถูกขวางโดย “ฮันซา” (Hansa) ที่ควบคุม Koltsevaya Line เขตชายแดนที่เข้มงวด
แต่อาร์ตียอมก็มาถึงสถานี Polis พร้อมกับการเข้าพบ สหายเมลนิค และเหล่าผู้นำของสถานี Polis ก็ได้รวมตัวกันเพื่อประชุมหาการกำหนดแนวทางปฏิบัติ แม้ว่าทางสถานี Polis จะไม่เห็นด้วยที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องดังกล่าว
สถานี Polis
Alley Library
แต่มีกลุ่ม Brahmins ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการที่รวบรวมหนังสือจากห้องสมุดจากพื้นโลก ได้ติดต่ออาร์ตียอม พวกเขาเสนอทางออกให้กับการคุกคามของเหล่า Dark Ones
พวกเขาต้องการให้อาร์ตียอม ไปกู้คืน หนังสือศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าอาร์ตียอมมีความอ่อนไหวทางจิตใจ อาร์ตียอมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่พื้นผิวโลก ร่วมทางไปกับ เมลนิค และ สมาชิกกลุ่ม Brahmin หนุ่มที่ชื่อ “ดาเนียล” (Daniel) พวกเขาเข้าไปในห้องสมุดและถูกโจมตีโดยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘บรรณารักษ์’ สัตว์กลายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ดาเนียลได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก่อนตาย เขาให้ซองจดหมายที่มีทิศทางไปยัง ไซโลขีปนาวุธ ที่ใช้งานได้
สถานี Kievskaya
อาร์ตียอมและ เมลนิค หนีไปโดยที่ไม่ได้หนังสือศักดิ์สิทธิ์ และกลับเข้าสถานีรถไฟใต้ดินมาถึงสถานี Kievskaya ที่ๆมีเรื่องเล่าว่า มี ผู้คนที่อยู่ที่นั่นโดนระเบิดฝังทั้งเป็นในศูนย์วิจัย ส่วน เมลนิคก็แยกทางกับอาร์ตียอมไปขอกำลังเสริม
ทีมของอาร์ตียอม ได้ผ่านสถานีรถไฟใต้ดินที่นำไปสู่ เครมลิน ซึ่งมีอาวุธชีวภาพกลายพันธุ์ที่พยายามสะกดจิตพวกเขา หลายคนถูกฆ่าตายก่อนที่พวกเขาจะระเบิดถังน้ำมันเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ กลุ่มส่วนใหญ่ไปที่ผิวโลกและขีปนาวุธไซโล
อาร์ตียอมเดินทางกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อให้พวกเขาสามารถกำหนดเป้าหมายการวางแท่นเล็งพิกัดขีปนาวุธ ซึ่งตัดสินใจแล้วว่าตำแหน่งที่เหมาะสมที่จะใช้ชี้เป้าคือ หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ Ostankino ระหว่างทางพวกเขาจอดที่ VDNKh ซึ่งเกือบจะถูกบุกรุกโดย Dark Ones หลังจากรวมตัวกันอีกครั้งกับ ซักฮอย แล้วอาร์ตียอมก็มาถึงหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ และทีมของเขาได้ตั้งเป้าขีปนาวุธมาที่รังของพวก Dark Ones
***หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ Ostankino****
เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่มีความสูงมากถึง 540 เมตร ออกแบบโดย Nicolai Nikitine ในปี 1967 แต่ท่านผู้นำโซเวียต Nikita Khruschev สั่งแก้แบบซะก่อน
โดยหอนี้มีรูปทรงเป็นเข็มแหลมทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือกรุงมอสโก โดยทำหน้าที่ ออกอากาศโทรทัศน์ 20 ช่อง และ รายการวิทยุอีก 20 ช่อง มีจุดชมวิวที่ความสูง 337 เมตร มีระยะการมองเห็นในภาพอากาศปลอดโปร่ง ที่ 20 กิโลเมตรโดยประมาณ และด้วยความสูงนี้ ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของรัสเซีย
มิตรสหายของอาร์ตียอมบาดเจ็บล้มตายระหว่างการเดินทาง ในที่สุดก็มาถึงยอดหอคอย ในตอนนั้น อาร์ตียอม ก็เกิดนิมิตที่คาบเกี่ยวกันของฝันร้ายที่เขามี ซึ่ง The Dark Ones ก็คือกลุ่มคนที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนสงครามนิวเคลียร์ โดย The Dark Ones พยายามติดต่อกับผู้รอดชีวิตที่สถานีรถไฟใต้ดิน พวกมันมีจุดประสงค์คือการพยายามที่จะสื่อสารและช่วยบอกให้พวกมนุษย์หยุดสงครามกันเองทั้งหมด มิเช่นนั้นจะไม่มีมนุษย์หลงเหลืออยู่เลย แต่ก็ไม่สามารถสื่อสารกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆได้ จนกระทั่งได้พบกับอาร์ตียอม
อาร์ตียอมตื่นในนิมิตอีกครั้ง คราวนี้ The Dark Ones สีแดง กลายเป็นฝ่ายไล่ล่าตัวอาร์ตียอมซะเอง เขาหนีสุดชีวิต สู้สุดกำลัง และฟื้นขึ้นมาพบตัว Dark One อยู่ข้างๆ มันพยายามที่จะหยุดสัญญาณขีปนาวุธด้วยเฮือกสุดท้ายของชีวิต แต่ก็ไม่สำเร็จ
บทสรุปส่งท้ายของ Metro 2033 จะมี 2 แบบ ได้แก่
1.อาร์ตียอมตัดสินใจยิงแท่นเล็งขีปนาวุธ ทำให้การโจมตีพลาดเป้า อาร์ตียอมรู้ดีว่าสงครามไม่มีวันจบสิ้น พวก Dark Ones เองก็พยายามจะสื่อสารกับมนุษย์ และเลือกที่จะปล่อยวาง และหาทางอยู่ร่วมกับคำเตือนของ The Dark Ones
2.อาร์ตียอมตัดสินใจเล็งแท่นยิงขีปนาวุธใส่รัง The Dark Ones โดยไม่สนใจอะไร และมั่นใจว่าพวกมันได้ตายกันไปมากแล้ว แต่ก็ยังเหลืออยู่ ส่วนอนาคต ก็ปล่อยให้มันเป็นไป
***จบแบบนิยาย คือ อาร์ตียอม คิดได้ว่าพวก Dark Ones นั้นถูกฆ่าตายอย่างไร้ประโยชน์ จึงถอดหน้ากากออกทั้งที่ตัวเองอยู่บนพื้นผิวโลกและมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเองด้วยน้ำตา***
Metro: Last Light
เรื่องราวภาคต่อ เกิดขึ้นในปี 2034 หนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์ของ Metro 2033 หลังจาก อาร์ตียอม จบศึกกับเหล่า Dark Ones ที่ Ostankino Tower อาร์ตียอม ที่ตอนนี้ได้รับการบรรจุเป็นสมาชิกหน่วย Rangers ก็ยังไม่แน่ใจว่าการฆ่า Dark Ones เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่
หน่วย Rangers กองกำลังรักษาสันติภาพที่เป็นกลางก็ได้เข้ามาตรวจสอบ D6 military facility บังเกอร์สมัยก่อนสงครามขนาดใหญ่ โดยมี“Red Line” และ “Fourth Reich” กลุ่มอำนาจทางทหารที่ยังขัดแย้งกันอยู่ ก็หมายที่จะชิงพื้นที่ตรงนี้ด้วย
*** D6 หรือ Metro-2 ***
เป็นระบบขนส่งใต้ดินซึ่งรัฐบาลรัสเซียใช้เป็นที่หลบภัย (Shelter) ระบบขนส่งนี้ ได้เชื่อมโยงสถานที่สำคัญของรัฐบาลและหน่วยงานทางทหาร การก่อสร้าง D6 เริ่มขึ้นในปี 1960 อุโมงค์ของระบบนี้สามารถใช้งานได้โดยรถไฟและรถยนต์ แต่ต้องได้รับอนุญาติจากทางการอีกด้วย
ข่าน ผู้วิเศษพเนจร (จากภาคที่แล้ว) ได้บอก อาร์ตียอม และพวก Rangers ว่ามี Dark One ตัวเดียวรอดชีวิตจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ข่านเชื่อว่ามันเป็นกุญแจสำคัญสำหรับอนาคตของมนุษยชาติและเขาต้องการสื่อสารกับมัน แต่ พันเอกมิลเลอร์ ผู้นำของ Rangers ต้องการกำจัดมัน ในฐานะภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
มิลเลอร์จึงได้ส่งอาร์ตียอมขึ้นสู่ผิวโลก พร้อมกับ แอนนา ลูกสาวของ พันเอกมิลเลอร์ ซึ่งเป็นมือปืนที่ดีที่สุดของRangers เพื่อทำภารกิจกวาดล้างพวก Dark One
อาร์ตียอมได้พบ Dark One ตัวเล็ก แต่ถูกทหารของFourth Reich จับ และได้พบกับ “พาเวล โมโรซอฟ” (Pavel Morozov) ทหารของ Red Line ที่ถูกจับ จึงร่วมมือกับอาร์ตียอมหลบหนีผ่านอุโมงค์ใต้ดินและข้ามพื้นผิวโลกที่พังทลาย เมื่อพวกเขามาถึงพื้นที่ภายใต้การดูแลของ Red Line พาเวลก็เปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง และสั่งขังอาร์ตียอม เพื่อรีดเอาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวก Ranger และ Dark One
“เลสนิทสกี้”
แต่อาร์ตียอมหนีออกมาและเร่งมือตามหา แอนนา ที่ถูกลักพาตัวโดย “เลสนิทสกี้” อดีตสายลับของ Ranger ที่ไปอยู่ฝ่าย Red Lineซึ่งระหว่างทาง เขาก็พบว่าทหาร Red Line ได้ลงมือสังหารหมู่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใต้ดิน สาเหตุเกิดจากการคาดคะเนว่าจะมีการแพร่ระบาดลึกลับ อาวุธชีวภาพที่ได้มาจาก D6 military facility อาร์ตียอมได้พบกับแอนนา แต่ว่าทั้งคู่ได้มีการสัมผัสกับไวรัส และถูกกักกันโรคหลังจากการช่วยเหลือ
อาร์ตียอมวัยเด็ก กับ Dark One
อาร์ตียอมได้พบกับ ข่าน อีกครั้ง พวกเขาค้นพบ Dark One และในเหตุการณ์ชวนหลอนประสาท และได้รู้ว่า อาร์ตียอม เคยได้รับการช่วยเหลือจาก Dark One ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และตัวเขาสามารถเชื่อมโยงกับจิตใจกับพวก Dark One โดยตั้งใจจะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างเผ่าพันธุ์
อาร์ตียอม ตั้งใจจะทำการแก้ไขสิ่งที่เคยทำพลาด (ในฉากจบภาคแรก) โดยการปกป้อง Dark One ตัวเล็ก และทั้งสองเดินทางไปยัง Polis ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของ Metro
ในเวลานั้น มีการประชุมสันติภาพเกี่ยวกับ D6 ระหว่างกลุ่มขั้วอำนาจอย่าง Rangers, Red Line, Reich และ Hansa ที่เป็นกลาง อาร์ตียอมสามารถเอาชนะ เลสนิทสกี้ และ พาเวลล์ ในระหว่างการเดินทาง
ระหว่างทาง Dark One ตัวเล็กสัมผัสได้ว่ามี กลุ่ม Dark Ones จำศีลใน D6 หลังจากมาถึง Polis แล้ว Dark One ใช้ความสามารถทางกระแสจิตของเขาในการทำให้ผู้นำ Red Line ท่านประธาน “มอสก์วิน” (Moskvin) สารภาพต่อสาธารณชนว่าการประชุมสันติภาพเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อให้นายพลโคบัต (Korbut) ยึด D6 ได้ อาร์ตียอม และพวก Rangers คนอื่น ๆ รีบวิ่งไปที่บังเกอร์เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพของนายพลโคบัต แต่ทว่าไม่เป็นผล เพราะทหาร Red Line ได้รายล้อมและเตรียมกำจัดทั้ง อาร์ตียอม และ มิลเลอร์
ฉากจบของเกมมีสองแบบ
1.อาร์ตียอม +กลุ่มเรนเจอร์ได้สละชีพ กดปุ่มระเบิดตัวเอง ทำลายกองทัพ Red Line และ D6 เพื่อไม่ให้ นายพลโคบัตเอาไปใช้ในการสังหารหมู่ แอนนาที่รอดชีวิตก็ได้เล่าวีรกรรมของอาร์ตียอมให้ลูกของเธอฟัง
2.อาร์ตียอม เตรียมที่จะทำลายหลุมหลบภัย และสละชีพพร้อมกับทุกคนในหน่วยเพื่อทำลายมัน แต่ถูกห้ามโดย Dark One ตัวเล็ก พร้อมกับ Dark Ones ที่ถูกปลุกขึ้นมา และมันสามารถเอาชนะกองทัพนายพลโคบัตได้
และ ในตอนจบทั้งสองแบบ Dark One ตัวเล็กที่รอดตายก็ได้สัญญาว่าพวกเขาจะกลับมาในอนาคตเพื่อช่วยสร้างโลกใหม่…
Metro Exodus
(ส่วนตัวไม่ได้เล่นภาคนี้ เลยไม่รู้จะเล่าอะไร 555)
Metro Exodus เป็นผลงานเกมจากค่าย 4A Games ที่นำเอาเรื่องราวของนวนิยายชื่อ Metro 2033 มาทำเกม ซึ่งภาค Exodus ถูกนับเป็นภาคที่ 3 ของซีรี่ส์เกม และเป็นเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาใหม่ ไม่มีในนิยาย (แต่กสร้างภายใต้สิทธิการสร้างเรื่องของสำนักพิมพ์ในรัสเซีย)
เรื่องราวของ Metro Exodus จะเล่าเรื่องราว ในปี 2036 หรือ สามปีต่อมาจากภาคแรก (2033) โลกได้สูญเสียประชากรมนุษย์ไปเกือบ 99% จากหลักแสน เหลือเพียงประชากรหลักหมื่นทั่วโลก และพวกที่ติดแหง็กในสถานีรถไฟรัสเซียอีกหลายพันคน ต่างก็อยากออกไปสู่โลกภายนอก แต่ทว่าท่ามกลางไฟสงคราม และความขัดแย้งของผลประโยชน์ ยังคงมีอยู่แม้ว่าสังคมมนุษย์จะแคบลงเหลือเพียง 1%บนโลกก็ตาม…
แต่ทว่า “อาร์ตียอม” (Artyom) จากที่เคยเป็นเด็กหนุ่มใส่ซื่ออาศัยอยู่ในโลกใต้ดินมาทั้งชีวิต ก็ได้กลายเป็นผู้นำกลุ่ม Spartan Rangers กลุ่มทหาร และชาวบ้านผู้ไม่กลัวตาย และหมายว่าจะไปจากสถานีรถไฟมอสโค ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ยุโรปตะวันออกไกล ที่ๆพวกเขาเชื่อว่าจะปลอดภัยจากความขัดแย้งของผู้คนกันเอง และกลุ่มสิ่งมีชีวิตปนเเปื้อนกัมมันตรังสี
แต่ระหว่างทาง ก็เต็มไปด้วยอุปสรรคนานับประการ ปลายทางของอาตียอมคือความสงบจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การหนีจากความจริงอันโหดร้ายที่โลกหยิบยื่นให้เขากันแน่…
Gameplay
ตัวเกมจะมาในแนว FPS เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือภาคนี้ มีความเป็นเกม Openworld สูงมากกว่าภาคก่อนๆ (ปกติเกมนี้เดินเรื่องเป็นเส้นตรงตามแบบเกมยิงทั่วไปในยุค 2000ปลายๆ) บรรยากาศ สภาพอากาศภายในเกมมีผลต่อการทำภารกิจอย่างมาก และเกมนี้ยังคงให้ความสำคัญกับ “หน้ากากกันแก๊ส” และ ค่าเงินใในเกม ที่ใช้เม็ดกระสุนปืนเก่ามาจับจ่ายซื้อไอเทม
กระสุนในเกมจะมี 2 เกรด เกรดแรกคือ “กระสุนเก่า” ใช้แทนเงิน และยังใช้ยิงพวกกลายพันธุ์ได้ แต่ DMG ค่อนข้างเบา แถมมีผลกับอาการติดลำกล้องของปืนอีกด้วย
ในขณะที่อีกเกรดหนึ่งคือ “กระสุนใหม่”เป็นของมีค่า ราคาสูง สามารถใช้จัดการพวกกลายพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้น แอคชั่นของเกมนี้หลักๆ จะเป็นการโจมตีด้วยระยะประชิด และการยิงเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น
ภาคนี้ จะเน้นหนักไปทางความน่ากลัว ตื่นเต้นสยองขวัญมากขึ้น มืดกว่าเดิม และด้วยความที่ไม่ได้ยึดโยงเนื้อเรื่องเข้ากับนิยายตรงๆอย่างภาคก่อนๆ ทำให้ทีมงาน “ออกแบบมอนสเตอร์ในเกมได้อิสระ และน่ากลัวมากขึ้น” และยังเพิ่มระบบตัวเลือกการตัดสินใจในการกระทำต่างๆ ทั้งกับเพื่อนร่วมทีม หรือการเลือกเส้นทางไปยังจุดต่างๆในแผนที่ และในที่สุด มันก้จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องอีกด้วย
แอดมิน Ak47