ภาพจาก abcnews
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการกลับมาของนโยบายภาษีสไตล์ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาดำรงตำแหน่ง และสร้างความตื่นตัวให้กับทั่วโลก ด้วย นโยบายตอบโต้ทางภาษี …ซึ่งตอนนี้ได้ส่งผลไปยังตลาดหุ้นในกลุ่มเกมทั่วโลก และยังต้องจับตาความเคลื่อนไหวของบริษัทเกมญี่ปุ่นอย่าง Nintendo ที่อาจเปลี่ยน “ราคาขายเกม” ให้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของวงการด้วยครับ
โดยในวันที่ 7 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Nintendo ร่วงลงเกือบ 8% หลังจากบริษัทประกาศเลื่อนการเปิดจองเครื่อง Switch 2 ในสหรัฐฯ ส่งผลไปยังเจ้าอื่นๆในวงการเกมด้วย
ราคาหุ้นของ Nintendo ร่วงลงไปแตะระดับต่ำกว่า 9,000 เยนในระหว่างวัน ก่อนจะฟื้นตัวบางส่วนมาปิดที่ 9,194 เยน ลดลงจากวันก่อนหน้า 783 เยน หรือคิดเป็น -7.85% ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ในรอบหลายเดือน
สื่อข่าวเศรษฐกิจหลายแห่งคาดการณ์ว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นตกอย่างแรง คือการที่ Nintendo ประกาศเลื่อนเปิดให้จอง Switch 2 ในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่าง “การประเมินผลกระทบจากภาษีศุลกากรและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง” ทำให้นักลงทุนวิตกว่าราคาจำหน่ายของเครื่องและอุปกรณ์เสริมอาจปรับตัวสูงขึ้นจากเดิม
ราคาหุ้นของบริษัทเกมชั้นนำรายอื่น ๆ ก็ปรับตัวลดลงตามไปด้วยเช่นกัน
- Sony Group: 3,009 เยน (-10.04%)
- Bandai Namco Holdings: 4,402 เยน (-7.37%)
- GungHo Online Entertainment: 2,635 เยน (-7.15%)
- Capcom: 3,404 เยน (-6.61%)
- Square Enix Holdings: 6,579 เยน (-5.62%)
- Koei Tecmo Holdings: 2,002 เยน (-5.41%)
นี่ไม่ใช่เพียงสัญญาณว่าบริษัทมีแผนรองรับความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นสัญญาณกลาย ๆ ว่า “ราคาขาย” ของทั้งฮาร์ดแวร์และเกมในยุคถัดไปอาจไม่ใช่สิ่งที่แฟนเกมคุ้นเคย หรือยอมจ่ายง่ายๆอีกต่อไป
ย้อนกลับไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นเกม AAA จำนวนมากขยับราคาขึ้นเป็น $69.99 จากเดิมที่อยู่ที่ $59.99 มานานหลายสิบปี ตั้งแต่ Final Fantasy VII Rebirth, Spider-Man 2 จนถึง Zelda: Tears of the Kingdom ของ Nintendo เองที่ประกาศขึ้นราคาชัดเจนเป็นรายแรกของค่าย
แต่หาก Switch 2 เปิดขายพร้อมเกมที่ราคาแตะระดับ $74.99–$79.99 ตามที่นักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ไว้ ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ราคาวงการเกม
คำถามคือ ภาษี มีส่วนทำให้ต้นทุนผลิตสูงขึ้น จนจำเป็นต้องขึ้นราคาจริงหรือ?
หรือว่า Nintendo และค่ายเกมรายใหญ่กำลังมองเห็น “โอกาสเชิงพฤติกรรมผู้บริโภค” ที่ยินดีจ่ายแพงขึ้น หากแลกกับประสบการณ์ที่คุ้มค่า ก็เลยอัพราคาเกมไปเลย…
อันนี้ก็สุดคาดเดาเพราะเป็นไปได้ทั้งหมดครับ
หรืออีกมุม “ภาษี ‘ทรัมป์’ อาจกระทบถึงราคาเกม”
ภาพจาก .pbs.org
ถึงแม้ นโยบายภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะดูเหมือนเป็นเรื่องมหภาคทางเศรษฐกิจ แต่ความจริงแล้วมีผลกระทบต่อราคาขายสินค้าเทคโนโลยีเกือบทุกชนิดในสหรัฐฯ ไม่เว้นแม้แต่วงการเกมนะครับ
Daniel Ahmad นักวิเคราะห์จาก Niko Partners ให้ข้อมูลกับสื่อว่า
“Nintendo ย้ายฐานผลิตบางส่วนจากจีนไปเวียดนามเพื่อเลี่ยงภาษีในยุคของทรัมป์ แต่หากมีภาษีรอบใหม่กับเวียดนามหรือญี่ปุ่น Nintendo ก็อาจต้องพิจารณาขึ้นราคาขายในประเทศอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน “ภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามและญี่ปุ่น อาจสูงกว่าที่คาดไว้ และหากมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ Nintendo ย่อมหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ไม่ได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าหาก ต้นทุนโลจิสติกส์ และ ภาษีนำเข้าสูงขึ้น ในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และยุโรป บริษัทเกม ก็อาจต้องชดเชยด้วยราคาขายต่อหน่วยที่สูงขึ้นทั่วโลก
รุ่นคอนโซล | ราคาเกม AAA ทั่วไป | เกม Flagship ที่แพงสุด |
---|---|---|
PS2 / GBA | $49.99 | $59.99 (FFXII Collector) |
PS3 / Wii | $59.99 | $69.99 (บางเกมของ Activision) |
PS4 / Switch | $59.99 → $69.99 | $69.99 (Zelda TOTK, FF7R) |
Switch 2 / PS5 | $69.99 → $79.99? | $79.99? (ยังไม่ยืนยัน) |
หมายเหตุ: $79.99 เป็นราคาที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจเกิดขึ้นกับเกมเรือธงของ Nintendo บน Switch 2 หากผลกระทบจากภาษีรุนแรงและต้นทุนพุ่งสูง
แล้วถ้าเกม Nintendo ขึ้นราคาจะเกิดอะไรขึ้น?
เราสามารถจำลองผลกระทบที่ “อาจ” เกิดขึ้นได้ ทั้งในมุม คนเล่น / ค่ายเกม / ตลาดรวม แบบเห็นภาพง่ายๆ ตามนี้ครับ
คนเล่น:
-Digital > Physical ชัดเจนขึ้น เลือกซื้อเกม DAY1 น้อยลง, ดิจิทัลที่สามารถลดราคา/โปรโมชั่นได้รวดเร็วกว่าจะได้เปรียบมากขึ้น
- ตลาดเกมมือสอง และการรอลดราคา อาจคึกคักขึ้นในฝั่งผู้เล่นที่งบน้อย รวมไปถึงระบบแชร์ไอดีเกมเล่น จะแพร่หลายมากขึ้น (ในไทยมีทำมาแล้ว เป็นคอมมูขนาดใหญ่เลยครับ หารไอดีเกมกัน)
-ความนิยมต่อการเช่าเกมเล่น หรือ subscription service เช่น Game Pass ถ้าเกมละ $79.99 = จ่าย Game Pass 5 เดือนได้ คนเริ่มเปรียบเทียบชัดขึ้น หรือ PS Plus อาจเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
-ตลาดเกมอินดี้และเกมกลางราคา $20–40 ได้โอกาสแจ้งเกิดมากขึ้น เพราะมีคนที่ไม่อยากจ่าย $79.99 จะมองหาเกมราคาถูกมากขึ้น รวมไปถึงเกมอินดี้คุณภาพดีอาจแจ้งเกิดง่ายขึ้นในช่วงราคา “กลาง ๆ”
ค่ายเกม :
-บางเจ้าจะ “ขึ้นราคาตาม” หาก Nintendo ขายดีโดยไม่โดนเกมเมอร์ออกมาทักท้วง หรือมีท่าทีต่อต้าน โดยเฉพาะเกม JRPG หรือเกม niche ที่มีแฟนเหนียวแน่น เช่น Persona, Xenoblade, Dragon Quest อาจจะทำให้เจ้าอื่นกล้าขึ้นราคาตามครับ
-อีกมุมนึง เครื่องเกมเจ้าอื่น ก็อาจใช้วิธีการตรึงราคาเกม มาเป็นจุดขายว่า “เราให้คุณมากกว่า ในราคาที่คุ้นเคย” ก็เป็นได้
ตลาดรวม :
-เกมแผ่นอาจซบเซาลงเมื่อเทียบกับการซื้อดิจิทัล
-ความกดดันด้านคุณภาพเกมสูงขึ้น ผู้เล่นจะ “ไม่ยอมจ่ายแพงถ้าเกมไม่คุ้ม”
ราคาที่สูงขึ้นคือสิ่งเลี่ยงไม่ได้ หรือเป็นเพียงการ “ทดสอบตลาด”?
หากพิจารณาจากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคหลัง COVID-19 ที่ยินดีจ่ายเพื่อความบันเทิงที่ “อยู่ได้นาน” มากกว่าความบันเทิงระยะสั้น การขึ้นราคาขายเกมอาจดูสมเหตุสมผลในเชิงเศรษฐศาสตร์
แต่ถ้าบริษัทใช้ต้นทุนจากภาษีเป็นเพียงข้ออ้างในการเพิ่ม margin โดยไม่เพิ่มคุณภาพตาม ผู้เล่นอาจกลับมาตั้งคำถามกับแบรนด์อย่างหนักในระยะยาว
ส่วนตัวแอดฯ มองว่า Nintendo ในฐานะบริษัทที่มีภาพลักษณ์ “เข้าถึงง่าย เป็นมิตรกับครอบครัว”
ก็ต้องเลือกเดินเกมระหว่าง “การปรับตัวทางธุรกิจ” และ “ความรู้สึกของผู้เล่น” ให้ดีๆ
เพราะหาก Switch 2 ถูกมองว่าแพงเกินไปตั้งแต่วันแรก ไม่เพียงแต่ยอดขายจะสะดุดเท่านั้น
แต่ “มาตรฐานใหม่ของราคาเกม” อาจถูกปฏิเสธตั้งแต่ต้นทาง…
ดังนั้น ต้องจับตาว่า นินเทนโด จะทำยังไง ถึงจะให้คนเล่นรู้สึกว่า “คุ้มค่ากับที่จ่ายไป” ครับ
แอดมิน AK47
#Nintendo #Switch2 #ภาษีทรัมป์ #เกมราคาใหม่ #เกม #อุตสาหกรรมเกม #ภาษีนำเข้า #เศรษฐกิจโลก #GamingNews
อ้างอิง:
https://www.gamespark.jp/article/2025/04/07/151213.html
Yahoo!ニュース – 任天堂株、Switch2予約延期で急落
IGN – Nintendo Switch 2: What We Know So Far
Wccftech – Nintendo Might Raise Switch 2 Prices Due to Tariff Threat