มาซามุเนะ และมุรามาสะ หลายๆ คนอาจจะคุ้นหูชื่อพวกนี้ในเกมต่างๆ อยู่บ้างและแน่นอนว่าดาบพวกนี้ยังมีอยู่จริงในปัจจุบัน โดยเรื่องอาถรรพ์ของดาบพวกนี้มีอยู่มากมาย อีกทั้งผู้สร้างนั้นใช้แรงกายและแรงใจใส่ลงไปตอนตีดาบ จึงทำให้ดาบมีความแกร่ง ทนทาน และความคมที่ดาบอื่นๆ เทียบไม่ติด
ดาบมุรามาสะเป็นดาบในตำนานที่มีชื่อเสียงมาก ที่ถูกสร้างโดยช่างตีดาบชื่อว่า “เซ็นโง มุรามาสะ” ที่ตีดาบขึ้นด้วยความเคียดแค้น ความริษยา และแรงอาฆาตลงไปจึงได้ชื่อว่าอาวุธของปีศาจ เป็นสัญลักษณ์ของความบ้าคลั่งและกระหายเลือด เป็นที่หวาดกลัวของทุกคน แม้กระทั่ง โชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสุ ยังมีคำสั่งเป็นราชโองการให้ทหารในสังกัดและคนในตระกูลของตนห้ามพกพาดาบหรืออาวุธใดๆที่สร้างจากตระกูลช่างมุรามาสะโดยเด็ดขาด เพราะว่า อิเอยาสุ เชื่อเรื่องอาถรรพ์ของ ดาบมุรามาสะเป็นอย่างมาก เนื่องจาก อิเอยาสุนั้นได้สูญเสีย ญาติพี่น้องภรรยาและลูกๆ จากดาบของ มุรามาสะ ไปไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ อิเอยาสุกลัวดาบปีศาจนี้เป็นอันมาก
โชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสุ ตัวจริงหน้าไม่ค่อยเหมือนในเกมส์หรือการ์ตูนซักเท่าไร
ส่วนมาซามุเนะนั้นกลับต่างออกไป เพราะเป็นดาบที่สร้างเพื่อต้องการให้ผู้ใช้ดาบปกป้องตนเองจากอันตรายทั้งปวง และนอกจากนั้นยังทำให้ผู้ครอบครองมีจิตใจที่สงบพร้อมสู้รบอย่างสุขุม ไม่เพรี่ยงพร้ำได้ง่าย ว่ากันว่าเป็นดาบที่ดีที่สุดที่ญี่ปุ่นเคยสร้างขึ้นมาเลยทีเดียว ดาบมาซามุเนะ เล่มสุดท้ายที่ผู้คนเคยได้เห็นและสัมผัสคือสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดาบนี้ถูกมอบให้กับนายทหารอเมริกันท่านหนึ่ง สันนิฐานว่าเป็นจอมพลดักลาส แมกอาร์เธอร์ แล้วก็ไม่มีใครได้พบเห็น ดาบนี้อีกเลย
รูปภาพนายพลแมกอาร์เธอร์ สันนิษฐานว่าเป็นผู้ครอบครองดาบมาซามุเนะเล่มสุดท้าย
มาซามุเนะนั้นเป็นตระกูลของช่างตีดาบมาตั้งแต่สมัยคามาคุระ ที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารของตระกูลโฮโจ ต่อมาคนในตระกูลมาซามุเนะบางส่วนก็แยกตัวออกไปเปิดสำนักตีดาบอีกสำนักหนึ่ง ชื่อว่ามุรามาสะ โดยมีสาเหตุที่ว่าอยากให้อาจารย์ของตนเองได้เห็นในฝีมือการตีดาบของตน จึงได้เกิดการท้าประลองตีดาบที่ดีที่สุดระหว่างสองสำนักขึ้น
มาซามุเนะได้ตีดาบที่มีชื่อว่า Tender Hands ใช้เหล็กผสมคาร์บอน 3 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นมีปริมาณคาร์บอนต่างกัน ทำให้ได้ดาบที่คมแข็งมาก ตัดไม้แม้กระทั่งเหล็ก
มุรามาสะตีดาบที่มีชื่อว่า 10,000 Cold Nights ซึ่งตีด้วยความเคียดแค้นและความริษยา ทำให้ดาบเกิดความคมแบบเหนือธรรมชาติ
เมื่อเวลาประลอง ทั้ง 2 ฝ่ายจึงมาเจอกันที่ลำธารแห่งหนึ่ง และปักดาบลงไปในน้ำทั้งคู่โดยหันด้านคมสวนกระแสน้ำ และรอให้มีใบไม้ที่ถูกน้ำพัดผ่านมาได้สัมผัสคมดาบของทั้ง 2 เล่ม ทางด้านดาบมุรามาสะใบไม้เมื่อผ่านก็จะขาดเป็นสองท่อนเสมอ ทำให้มุรามาสะภูมิใจในดาบของเขามาก ซึ่งต่างจากดาบมาซามุเนะที่เมื่อใบไม้ลอยผ่านคมดาบจะถูกผลักออกจากตัวดาบเหมือนมีออร่าห่อหุ่มเอาไว้ไม่ให้เกิดอันตรายใดๆ ว่ากันว่าเนื่องมาจากดาบของมุรามาสะตึขึ้นจากความแค้น ดังนั้นที่ดาบจะมีไอสังหารออกมาจากดาบ และตัดทุกอย่างที่ขวางหน้าแม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิต ส่วนดาบมาซามุเนะนั้นสร้างขึ้นด้วยจิตรที่ต้องการปกป้อง จึงทำให้ผู้ที่ถือรู้สึกสงบและมีสมาธิ แต่ดาบมุรามาสะจะทำให้ผู้ถือเกิดความคึกคะนองและบ้าคลั่ง ผู้ครอบครองจะถูกกินวิญญาณไปทีละนิดๆ
ผู้ที่คิดนำดาบทั้ง2ตระกูลมาใช้เป็นพลังของตนเอง บ้างก็ประสบภัยพิบัติอย่างเช่น ทาเคดะ ชินเก็น ผู้เป็นเจ้าของกระบวนรบฟูรินคะซัน หรือ ที่รู้จักกันใน ลมป่าไฟภูเขาแม้ว่าทาเคดะจะชนะในการรบอยู่เรื่อยมาก็เกิดการเจ็บป่วยจนตาย และตระกูลก็พังพินาศในสมัยของลูกชายตนเอง จนทำให้ชื่อเสียงของดาบทั้ง 2 ตระกูลโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน
รูปภาพของทาเคดะ ชินเก็น
นอกจากนั้นยังมีคำบอกเล่าของผู้ที่เคยใช้ดาบของทั้ง 2 ตระกูลนี้ว่ามีพลังอาถรรพ์ที่น่ากลัวมากมาย ซึ่งเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าผู้ใดที่ได้จับหรือครอบครองดาบของตระกูลมาซามุ เนะและมุรามาสะนั้น จะรู้สึกถึงดาบในฝักที่มีอาการสั่นรัวๆ พร้อมกับเสียงร้องหวีดแหลมเล็กเบาๆในหูราวกับว่ามันมีชีวิตจริง อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าดาบอาถรรพ์นี้กำลังร้องเรียกให้ผู้เป็นนายดึงมันออกมา จากฝักดาบที่เป็นพันธนาการ ให้พุ่งออกมาวาดลวดลายล้างผลาญชีวิตศัตรูหรือแม้แต่เจ้าของของมันเอง
ส่วนประเด็นที่ว่าดาบเล่มไหนคือสุดยอด เรื่องนี้ถูกเปรียบเทียบว่าจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดที่ดาบถูกสร้างนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อการเข่นฆ่าเอาชีวิตกัน แต่หากประสงค์ให้ผู้ใช้ดาบนั้น เลี่ยงตนเองให้พ้นภัยอันตรายทั้งปวงต่างหากจากอดีตถึงในปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นต่างยกย่องให้ ดาบมาซามุเนะ นั้นเหนือกว่ามุรามาซะ เสมอ แต่บางกลุ่มก็ตีความว่า ที่ใบไม้ไม่โดนดาบมาซามุเนะนั้น เนื่องจากมีไอสังหารออกมาจากดาบ แม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตก็รับรู้และหลบหลีกในอานุภาพของมาซามุเนะแต่ดาบมุรามาซะนั้น ไร้ซึ่งไอดาบ เนื่องจากว่ากันว่าเป็นดาบที่ตีจากความริษยา และความแค้น ทำให้ไม่มีไอสังหาร เพราะเป็นดาบที่ไม่ใช่ไว้ฆ่าใครแต่เป็นดาบที่ฟาดฟันทุกอย่างตรงหน้าโดยไม่สนใจอะไร
ยังคงมีตำนานอีกอันหนึ่งเล่ากันว่า มิยาโมโตะ มุซาชิ นักดาบอันลือลั่นจึงใช้ไม้พายมาเหลาเป็นดาบไม้เพื่อสู้กับ ซาซากิ โคจิโร่ เพราะคำบอกอ้างนั้นว่า มุซาชินั้นใช้ดาบมาซามุเนะ และ โคจิโร่ ใช้ มุรามาซะ และเค้าพบว่าความสามาถนั้น ใกล้เคียงกันเหลือเกิน จึงเป็นเหตุผลให้ มุซาชิมาสายกว่าเวลานัดเพื่อทำลายสามาธิของผู้ถือดาบมุรามาซะ ที่ทำให้จิตใจ เร้าร้อนอยู่แล้ว ร้อนขึ้นไปอีก และใช้ดาบไม้เพื่อไม่ให้รับรู้ถึงไอดาบ
รูปภาพ อนุสรณ์สถาน ที่ มุซาชิต่อสู้กับ โคจิโร่
ซึ่งหากมองในภาพรวมของความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงตำนาน เพราะ มาซามุเนะ และ มุรามาซะ นั้นไม่ได้เกิดอยู่ในรุ่นเดียวกัน ดาบ2ตระกูลเกิดห่างกันมากกว่า 200 ปี ส่วนเรื่องที่โคจิโร่ได้ครองครองดาบมุรามาสะนั้น ยังมีความเป็นได้อยู่บ้าง เนื่องจาก โคจิโร่เป็นซามูไรชั้นสูง เกิดมาในตระกูลซามูไรโดยแท้ และเป็นรูปแบบที่ซามูไรทุกคนจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างส่วนมุซาชินั้นต่างออกไป เพราะมุซาชิเป็นซามูไรบ้านนอก ไร้สังกัด เกิดในชนชั้นชาวนาจนๆ และยังไร้สังกัด ไม่มีเจ้านาย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่มุซาชิจะได้ครอบครองดาบของตระกูลมาซามุเนะที่เป็นอาวุธระดับ ไดเมียว(เจ้าแคว้น) ขึ้นไปเท่านั้น ฉนั้นผู้ที่สามารถครอบครองได้มีเพียง กลุ่มคนแค่ 3 กลุ่มคือ กลุ่มไดเมียว กลุ่มเครือญาติของโชกุน และเชื้อพระวงศ์ เท่านั้น
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นตำนานที่เล่าต่อกัน แต่ยังคงมีตำนานที่แท้จริงแน่นอนอยู่สิ่งหนึ่งคือ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ว่า ดาบซามูไรโบราณเล่มหนึ่งที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกียวโต จังหวัดเกียวโต ได้รับบริจาคจากนักสะสมดาบรายหนึ่งในจังหวัดโอซาก้าเมื่อปีที่แล้ว หลังการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญเป็นเวลาหลายเดือน พบว่า เป็นดาบที่มีชื่อว่า “ชิมาซึ มาซามุเนะ” ผลงานของ “โอกาซากิ มาซามูเนะ” ช่างทำดาบชื่อดังในตำนานของญี่ปุ่นที่มีผลงานโดดเด่นในช่วงปลายสมัยคามาคุระ (1735-1876) ซึ่งนับเป็นการค้นพบงานของมาซามูเนะ ครั้งแรกในระยะเวลาประมาณ 150 ปี โดยผู้นำมาบริจาคกล่าวว่าเขาได้รับดาบมาจากตระกูลคาโนะเอะ เมื่อปี 2521 และตัดสินใจนำมามอบให้พิพิธภัณฑ์เพราะเขาอายุมากแล้ว
นายโทชิฮิโกะ สุเอคาเนะ ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกียวโต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในประวัติศาสตร์งานโลหะของญี่ปุ่น ระบุว่า มีปัจจัย 3 ข้อ ที่บ่งบอกว่าดาบเล่มนี้เป็นผลงานของมาซามูเนะ อันดับแรก ดาบเล่มนี้มาจากตระกูลคาโนะเอะ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์อิมพีเรียลของญี่ปุ่น ส่วนปัจจัยอีก 2 ข้อ คือบันทึกในสมัยเอโดะ (2146-2410) เกี่ยวกับดาบที่มีชื่อเสียง
เอกสารชิ้นหนึ่งเป็นบันทึกของตระกูลโฮนามิ ซึ่งได้รับคำสั่งจากโชกุนโตกุกาว่า โยชิมุเนะ (2227-2294) ให้ตรวจสอบดาบที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในช่วงเวลานั้น เอกสารระบุไว้ว่า ดาบชิมาซึ มาซามูเนะ มีความยาว 68.7 ซม. ซึ่งตรงกับดาบเล่มนี้ ส่วนเอกสารอีกชิ้นระบุถึงการออกแบบของดาบ
ด้านทาเอโกะ วาตานาเบะ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะซาโน ในเมืองมิชิม่า จังหวัดชิซึโอกะ ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญที่ทำการศึกษาวิเคราะห์ดาบเล่มนี้ กล่าวว่า จากลักษณะเฉพาะตัว และรูปแบบของดาบเล่มนี้ แม้จะเป็นงานที่ค่อนข้างเรียบเมื่อเปรียบเทียบกับงานชิ้นอื่นของมาซามูเนะ แต่ก็เป็นผลงานวิจิตรที่สื่อถึงความเคลื่อนไหวภายใต้ความสงบนิ่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นผลงานของช่างฝีมือชั้นเลิศมาซามูเนะอย่างแน่นอน
ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า โชกุนโตกุกาว่า อิเอโมชิ (2389-2409) โชกุนลำดับที่ 14 แห่งตระกูลโตกุกาว่า มอบดาบชิมาซึ มาซามูเนะ พร้อมเหรียญทองคำจำนวนหนึ่ง เป็นของขวัญในการอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงคาซึโนะมิยะ แห่งราชวงศ์อิมพีเรียล ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ดาบปรากฏตัว
“ชิมาซึ มาซามูเนะ” จะถูกจัดแสดงในนิทรรศการ “เกียวโต: สเปลนเดอร์ส ออฟ ดิ อานเชียนท์ แคปิตอล” หรือ “เกียวโต:ความงดงามแห่งนครหลวงโบราณ” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกียวโต ระหว่างวันที่ 15 ต.ค.-16 พ.ย. 2557 โดยทั่วไปแล้ว การจัดแสดงดาบซามูไรโบราณในพิพิธภัณฑ์ จะเปลือยด้ามดาบเพื่อให้เห็นชื่อหรือสัญลักษณ์พิเศษที่ช่างทำดาบแต่ละคนสลักไว้ ที่ผ่านมา งานของมาซามูเนะส่วนใหญ่ถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญและสมบัติของชาติ
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ ดาบในตำนานทั้ง 2 เล่ม ที่ได้รวบรวมมาให้ครับผม
By Rookie Blacksmith
-
BEYBLADE X : 10 ตัวน่าซื้อ ของมันต้องมีในปี 2024
#beybladex #kctoysbeybladex #beybladexthailand
-
KARATE KID: LEGENDS [เรื่องย่อ / ตัวอย่าง / หนังใหม่ /2025]
#KarateKidMovie #KarateKi #เฉินหลง #JackieChan
-
20 ตัวละครจากเกมยอดนิยมที่ถูกค้นหามากที่สุดในเวปไซต์สำหรับผู้ใหญ่ 2024
#Ranking #website #Games #PC #Console