หากคุณประทับใจในเรื่องราวการต่อสู้ของนักดาบสุดเทพ ผู้หมายมั่นว่าจะใช้เพลงดาบสร้างสันติ โดยไม่ฆ่าใคร พร้อมเรื่องราวดราม่า การต่อสู้สุดเข้มข้นใน ซามูไรพเนจร หรือ Rurouni Kenshin เวอร์ชั่นภาพยนตร์ ที่ “ซาโต้ ทาเครุ” ได้แสดงไว้ในบทบาท “ฮิมุระ เคนชิน” ได้อย่างน่าจดจำ…
และบทความนี้จะเป็นเรื่องราวที่จะพาทุกคน ย้อนกลับไปในช่วงเวลาอันดำมืดของหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โลกแห่งการฆ่าฟัน ยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนผ่าน ที่มีนักฆ่าขั้นเทพเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆขับเคลื่อนสู่ยุคสมัยใหม่ “ซามูไรพเนจร : ปฐมบท” ภาพยนตร์ภาคสุดท้ายของ “ซามูไรพเนจร” ที่จะมาปิดตำนาน ด้วยเรื่องราว “จุดเริ่มต้นของมือพิฆาติบัตโตไซ จนถึงช่วงที่ละทิ้งการฆ่าฟัน และนำไปสู่เรื่องราวในภาคแรก” เราจึงพาทุกท่าน ทำการบ้านแบบอิงประวัติศาสตร์ก่อนรับชม เพื่อสร้างความเข้าใจในตัวละครเคนชินให้มากยิ่งขึ้น…
**อนึ่ง ประวัติศาสตร์จริง “ไม่มีเคนชิน” แต่จะเล่าแบบอิงสถานการณ์เพื่อเข้าใจโลก และตัวละครเท่านั้น**
เพลงประกอบบทความ กรุณาเปิดเพื่อเอาฟิลลิ่ง
“การฟื้นฟูเมจิ”
明治維新 (เมจิอิชชิน) คือชื่อของยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านระบบการปกครองของประเทศญี่ปุ่นไปตลอดกาล ซึ่งในตอนนั้น รัฐบาลโชกุนโตกุกาว่า มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารบ้านเมือง ทำให้การบริหารแผ่นดินมีช่องโหว่มากมาย ทั้งด้านโครงสร้างเชิงศักดินา ที่ให้อำนาจแก่เหล่าเจ้าขุนมูลนายมากมาย เหล่านักรบซามูไรเองก็ได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อจากเจ้านาย จนไม่สนใจกฎหมาย เชื่อมั่น ศรัทธาในคำสั่งเจ้านายของตนเท่านั้น อีกทั้ง ตัวแปรเล็กๆอย่างด้านงบประมาณในการจัดการบริหารบ้านเมือง ส่วนหนึ่ง ได้ตกไปอยู่ในมือของขุนนาง และซามูไรอย่างมากไม่ได้เอามาพัฒนาประเทศเท่าที่ควร จนชาวบ้านอดอยากปากแห้ง ทำงานส่งภาษีกันชนิดตายคาทุ่งนากันเลย
“ฮิโกะ เซจูโร่”
และนั่น ทำให้ “ชินตะ” เด็กชายตัวน้อยที่มากับพี่สาวทั้ง4คน จึงถูกขายมาเป็นทาส และถูกพวกโจรข้างทางสังหารเรียบทั้งขบวน โชคดีที่เด็กชายชินตะรอดมาได้ เพราะการช่วยเหลือของนักดาบพเนจรที่ชื่อ “ฮิโกะ เซจูโร่” เขาสังหารโจรเหล่านั้นทั้งหมด และด้วยความที่เขาเห็นความอ่อนโยนของชินตะที่ฝังศพของทุกคน รวมทั้ง พวกโจรที่ถูกเซจูโร่ฆ่าตาย นักดาบพเนจรจึงรับเขาเป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชา “เพลงดาบล่องนภา” (飛天御剣流 ฮิเท็น มิสุรุงิริว) เพลงดาบที่มีอาณุภาพร้ายกาจที่สุด “ที่มีไว้ใช้ปกป้องผู้คน”
และเปลี่ยนชื่อของ “ชินตะ” เป็น “ฮิมุระ เคนชิน” (เคน=ดาบ / ชิน=วิญญาณ รวมกันก็คือ จิตวิญญาณแห่งดาบ นั่นเอง) เพื่อใช้วิชาดาบ ออกปกป้องผู้คนตามเจตนารมย์ของเซจูโร่นั่นเอง…
“คิโดะ ทากะโยชิ” (หรือ คาซึระ โคโกโร )
แต่ถึงจะบอกว่าเหล่าขุนนางและซามูไรได้ถูกเลี้ยงดูแบบ Overrate จัดๆ แต่ก็มีไดเมียวบางกลุ่ม และซามูไรที่ตั้งมั่นในความถูกต้อง เห็นเรื่องทุกข์ร้อนชาวบ้านมามากมาย ได้รวมตัวกัน…ที่ “แคว้นซัทสึมะ” แคว้นที่ทรงอำนาจบนเกาะคิวชูของญี่ปุ่น ภายใต้การนำของ ไซโก ทากาโมริ ได้ร่วมมือกับ “แคว้นโจชู” อันเป็นแคว้นใหญ่ในภูมิภาคชูโกกุ ภายใต้การนำของ “คิโดะ ทากะโยชิ” (หรือ คาซึระ โคโกโร คนๆนี้ จะเป็นเจ้านายของเคนชินในเวลาต่อมา) ได้ผนึกกำลังก่อตั้ง “กลุ่มพันธมิตรซัตโจ” (ซัทสึมะ+โจชู หรือ 薩長同盟 ซัทโชโดเม) ในการเริ่มโปรเจคท์ “ปฏิรูปสมัยเมจิ” เพื่อการยึดอำนาจจากรัฐบาลโชกุน ให้กลับไปอยู่ในมือของพระจักพรรดิ์
จักรพรรดิโคเม
แน่นอนว่าการใหญ่ระดับชาติ ต้องมีแบ็คอัพที่โคตรหนาเส้นใหญ่ งานนี้ จักรพรรดิโคเม (孝明天皇 Kōmei-tennō) พระราชบิดาในจักรพรรดิเมจิ ได้ทำการสนับสนุนในภารกิจนี้ รวมไปถึงองค์ความรู้จากซามูไรหัวก้าวหน้าอย่าง “ซากาโมโต้ เรียวมะ” ก็เป็นหนึ่งในไอเดียตั้งต้นที่จะโค่นระบอบโชกุนที่เหมือนจะอยู่ใต้พระราชอำนาจของพระจักพรรดิ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วล้นฟ้าอย่างมาก ทั้งกำลังรบ และด้านการบริหารบ้านเมือง
หลังการสิ้นพระชนม์ของ จักรพรรดิโคเม ก็คือจุดเริ่มต้นของการแตกหัก และนำไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองที่นองเลือดทั้งในที่ลับ และที่แจ้ง ซามูไร ได้ผันตัวสู่การเป็นมือสังหาร บ้างก็ใช้อำนาจรัฐตั้งก๊กกลุ่มใหม่ขึ้นมาโดยอ้างความชอบธรรมจากรัฐบาลโชกุน ประเทศญี่ปุ่นได้เข้าสู้โหมดการเปลี่ยนแปลงจากสังคมระบบเจ้าขุนมูลนาย ไปสู่สังคมทุนนิยมจากชาติตะวันตกอย่างช้า ๆ
ในตอนนั้น เคนชิน ก็เข้าสู่วัยหนุ่ม ที่ต้องการใช้วิชาดาบ “เปลี่ยนแปลงประเทศ” ไม่อยากให้ใครต้องถูกกดขี่ อดอยากอีกต่อไป เคนชินเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของเหล่าพันธมิตรซัตโจ อย่างมาก แต่เซจูโร่ไม่เห็นด้วยกับยุคสมัยใหม่ที่มาจากการฆ่าฟัน ทั้งสองศิษย์ อาจารย์ ทะเลาะกันด้านความคิดอย่างรุนแรง ในที่สุด เคนชินก็ลาจากอาจารย์ ไปทำตามฝันของตัวเองในฐานะซามูไรของกลุ่มโจชู
และด้วยฝีมือเชิงดาบที่หาตัวจับได้ยาก ทำให้เคนชินได้เข้าทำงานกับ “คิโดะ ทากะโยชิ” หรือในอีกชื่อหนึ่ง “คาซึระ โคโกโร” หนึ่งในสามซามูไรที่เป็นผู้นำของรัฐบาลปฏิรูปนั่นเอง
แน่นอนว่า มือดีของโจชู คือ เคนชิน และพลพรรคมือสังหาร ในฝั่งของรัฐบาลโชกุนโตกุกาว่า ก็มีมือดีเช่นกัน ได้แก่ “กลุ่มชินเซ็น” และ “กลุ่มมิมาวาริน” ทั้งสองฝั่งต่างดำเนินงานในรูปแบบต่างกัน แต่ก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ สังหารคนสำคัญของแต่ละฝ่าย นั่นเอง
เคนชิน ที่เข้าสู่โลกของมือสังหารในฐานะ “ฮิโตะกิริ บัตโตไซ” (บัตโตไซจอมผ่าร่างคน) ที่ทำให้เขาต้องลงมือสังหารผู้คนตามใบสั่งมากมาย สร้างชื่อไต่ระดับจนเป็นมือดีของกลุ่มโจชูได้
จนกระทั่งมีเหยื่อรายหนึ่งที่เป็นคนของรัฐบาลเกียวโต “คิโยซาโตะ อากิระ” ซามูไรหนุ่มอนาคตไกล ที่ต่อสู้กับเขาจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และได้ฝากรอยแผลเป็นบนใบหน้า ที่ไม่มีวันหายไป…
ที่นั่น เคนชินได้พบกับ “ยูกิชิโร่ โทโมเอะ” สาวสวยผู้ลึกลับ ที่ค่อยๆลดความคมของมือสังหารลง และเติมหัวใจให้เคนชินเป็นคนมากขึ้น…
ชีวิตมือสังหารที่หัวใจแตกสลาย
หลังจากคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรซัตโจ ได้ล้มหายตายจากไปมาก บวกกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน รวมไปถึงชื่อเสียงของ บัตโตไซที่ลือลั่น ทำให้ คาซึระ โคโกโร ตัดสินใจดึงเกมให้ช้าลง ด้วยการอยู่เงียบๆซักพัก รอจังหวะทำการใหญ่อีกครั้งในเวลาที่เหมาะสม และนั่นส่งผลให้เหล่าซามูไรมือสังหาร ต้องแยกย้ายกันไป และเคนชิน กับ โทโมเอะ ต้องออกจากเกียวโต ไปยังบ้านไร่ปลายนาอันแสนสงบสุข เพื่อรอคำสั่งใหม่ต่อไป
เคนชินที่สับสนในชีวิต ถูกความอ่อนโยน เบาบาง ของโทโมเอะ ดึงให้ชีวิตเขาช้าลง ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความสุขในการใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง และเริ่มเข้าใจความหมายของการใช้ชีวิตแล้ว ทั้งสองใช้ชีวิตในฐานะหมอสมุนไพรในหมู่บ้านเล็กๆอย่างมีความสุข
เรื่องราวเหมือนจะจบ แต่นี่คือจุดเริ่มต้น เพราะทางรัฐบาลโตกุกาว่าเองก็ได้ส่ง “นักรบดำ” กองทหารรับจ้างมือดีเตรียมแผนการสังหารมือพิฆาตบัตโตไซ และมีโทโมเอะ เป็นสายลับให้กลุ่มดังกล่าว เพราะเธอตั้งใจจะล้างแค้นให้“คิโยซาโตะ อากิระ” ซามูไรหนุ่มว่าที่คู่หมั้น ที่ถูกบัตโตไซฆ่าตายนั่นเอง แต่ในตอนนี้ โทโมเอะได้ละทิ้งความแค้น และรักเคนชินจากใจจริง จนเกิดความลังเลที่จะสานต่อภารกิจหาจุดอ่อนของมือสังหารไร้หัวใจ…
โทโมเอะ และ เคนชิน ก็ถูกไล่ล่าโดยพวกนักรบดำจนได้ ด้วยจำนวนคน และฝีมือที่ต่างกัน ทำให้เคนชินสุญเสียประสาทสัมผัสไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนในที่สุด ด้วยความรักของโทโมเอะที่ตั้งใจจะเข้าไปจัดการกับศัตรู ก็ถูกเคนชินสังหารโดยไม่ได้ตั้งใจ และแผลที่สอง ก็เกิดขึ้นในตอนนั้น พร้อมกับผู้ที่เห็นเหตุการณ์จากที่ไกลๆ “ยูกิชิโร่ เอนิชิ” น้องชายของโทโมเอะนั่นเอง เอนิชิจากไปพร้อมความแค้นสุมอก และรอวันที่จะกลับมาเอาคืนเคนชินในอนาคต…
เคนชิน อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยากขั้นสุด เขาแบกศพโทโมเอะกลับบ้านด้วยจิตใจอันแหลกสลาย แต่ในวันนั้น คาซึระ โคโกโร ก็กลับมารับเขาในฐานะ “ลูกน้องคนสนิท” มือขวาของแคว้นโจชู โดยได้เขามอบหน้าที่มือสังหารให้ “ชิชิโอ มาโคโตะ” มือสังหารรุ่นน้องของเคนชินไปแล้ว เขาจึงกลับมาจับดาบฆ่าคนอีกครั้ง คราวนี้ เป็นการจับดาบเพื่อไม่ให้สิ่งที่เคยทำสูญเปล่า เขาตัดสินใจเผาบ้านตัวเองพร้อมศพโทโมเอะ
เคนชิน ออกจากเงามืดมาเป็น “แนวหน้าของขบวนพยุหะสังหารของโจชู” ทำหน้าที่ปกป้องพวกพ้องซามูไรคณะปฎิวัติด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นหน่วยที่มีไว้รับมือกับกลุ่มชินเซนโดยเฉพาะ และนั่นทำให้ เคนชิน ได้บพกับ “หมาป่าแห่งมิบุ” ไซโต้ ฮาจิเมะ (ต่อมาหลังจบยุคปฎิวัติ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ฟุจิตะ โกโร่)
ศึกเดือด พลิกฟ้าชะตากรรมประเทศ!
戊辰戦争 (โบชินเซนโซ) สงครามโบชิน ศึกสงครามครั้งใหญ่ที่เป็นการต่อสู้อย่างเป็นทางการระหว่าง ฝ่ายปฎิวัติ และ ฝ่ายรัฐบาลโชกุนโตกุกาว่า เกิดจากความไม่พอใจในบรรดาขุนนาง และซามูไรหนุ่มจำนวนมาก จากการจัดการกับคนต่างด้าวของรัฐบาลโชกุน หลังการเปิดประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งคณะปฎิวัติ คือกำลังสำคัญของพระจักรพรรดิเมจิด้วย
ซึ่งในตอนแรก ทางโชกุน โตกุกาว่า โยชิโนบุ เองก็เคยคิดจะคืนอำนาจให้ โดยหวังว่าจะได้กลับมาลงสู่สนามการเมืองอย่างสบายใจ แต่ทว่าทางฝ่ายปฎิวัติค่อนข้างหัวรุนแรง และไม่โอเคกับการมีชื่อของโตกุกาว่าในสายงานบริหารประเทศหลงเหลือ เข้าทางสำนวน “ตัดบัวไม่ไว้รากเผาซากไม่ให้เหลือ” แคว้นซัตสึมะ และ แคว้นโจชู ลงนามสนับสนุนยกเลิกอำนาจตระกูลโตกุกวาว่าทั้งหมด พร้อมยึดทรัพย์สินคืนพระจักพรรดิ์
17 มกราคม 1868 โชกุนโตกุกาว่า โยชิโนบุ ประกาศไม่ยอมรับคำสั่งของรัฐ ทำให้โยชิโนบุเปิดฉากการรบเพื่อยึดราชสำนักจักรพรรดิที่เกียวโต มาตั้งมั่นที่ปราสาทโอซากา เพื่อเตรียมโจมตี
แต่กองทัพจักรพรรดิ์ ได้เตรียมตัวรออยู่แล้ว
และการรบครั้งสำคัญที่พลิกโฉมญี่ปุ่น เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ก็มาถึง การต่อสู้ระหว่างฝ่ายสนับสนุนองค์จักรพรรดิกับฝ่ายสนับสนุนระบอบโชกุน เริ่มต้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1868 ในชื่อ ยุทธการโทบะ–ฟูชิมิ อันเป็นซีนเปิดเรื่องของภาพยนตร์ ซามูไรพเนจรภาคแรกสุดนั่นเอง
ศึกนี้ เคนชินได้ใช้ทุกอย่างที่มี เข้าร่วมศึกในฐานะหน่วยทะลวงฟัน แม้รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายพันธมิตรซัตโจ หรือคณะปฎิวัติจะมีกำลังพลน้อยกว่า แต่พวกเขามีกำลังทหารและยุทธโธปกรณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีทั้งปืนใหญ่ ปืนยาว ปืนกล ในการรบ ซึ่งทางด้านกองกำลังของโชกุนนั้นไม่มีอาวุธพวกนี้มากนัก เนื่องด้วยการที่โชกุนใช้เงิน หมดไปในการฝึกทหารของฝรั่งเศส ทำให้ไม่ค่อยมีเงินไปซื้ออาวุธ ทำให้ในกองกำลังของโชกุนมีทั้งส่วนที่ทันสมัยและล้าสมัยปนกันไป ใช้งานได้ไม่เต็มที่ ที่แม้ว่าวัดกันที่กำลังคนจะเหนือกว่า แต่ทางเทคโนโลยี และอาวุธ กลยุทธ์นั้น ฝั่งคณะปฎิวัติดูจะเหนือกว่า
พลเรือเอก เฮนรี เคปเปล (Henry Keppel)
แถมกองเรือราชนาวีอังกฤษนำโดย พลเรือเอก เฮนรี เคปเปล (Henry Keppel) และ พลเรือเอก เฮนรี เบล (Henry H. Bell) ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของคณะปฎิวัติเอง ก็ได้ออกตัวและมาช่วยสนับสนุน โดยการเอากองเรือมาปิดท่าเรือโอซาก้า หลักๆเลย เพราะพวกเขาต้องการปกป้องเส้นทางการเดินเรือพานิชย์นาวีที่สำคัญใน เมืองเฮียวโก(ปัจจุบันคือโกเบ) ไม่ให้รับผลกระทบจากสงคราม อีกทั้งกองเรืออังกฤษเองก็มั่นใจเหลือล้นว่าศึกนี้คณะปฎิวัติชนะแน่นอน กระแสของสงครามพลิกกลับไปยังกลุ่มของจักรพรรดิ ที่แม้จะมีขนาดเล็กกว่า ในที่สุด โชกุน โตกุกาว่า โยชิโนบุ จึงเป็นฝ่ายขอยอมแพ้ ส่วนผู้ภักดีต่อโตกุกาว่า กลุ่มชินเซน และอื่นๆ ได่ล่าทัพขึ้นตอนเหนือของเกาะฮอนชูและเกาะฮอกไกโดในภายหลัง
ฟ้าหลังฝน ยุคสมัยใหม่มาถึง นักฆ่าไร้ประโยชน์!
หลังโยชิโนบุยอมจำนน ประเทศญี่ปุ่นส่วนมากก็ยอมรับการปกครองของจักรพรรดิ แต่ก็มีไดเมียวในภาคเหนือหลายคนตั้งพันธมิตรเพื่อต่อกรกองทัพจักรพรรดิจนเกิดสงครามย่อยมากมายหลายครั้ง ในที่สุด กลุ่มชินเซ็นแตกพ่าย รัฐบาลใหม่ดำเนินรวมประเทศภายใต้การปกครองทรงอำนาจโดยชอบเดียวโดยราชสำนักจักรพรรดิ ที่พำนักของจักรพรรดิย้ายจากเกียวโตไปโตเกียวในปลาย ค.ศ. 1868 อำนาจทางทหารและการเมืองของแว่นแคว้นต่าง ๆ ทยอยถูกริดรอนไป และไม่ช้าแคว้นต่าง ๆ ก็กลายสภาพเป็นจังหวัด ซึ่งจักรพรรดิทรงตั้งผู้ว่าราชการ มาดูแลจังหวัดต่างๆ รวมทั้งมีการเวนคืนทรัพย์และยกเลิกชนชั้นซามูไร ทำให้ซามูไรจำนวนมากเปลี่ยนเข้าตำแหน่งงานมาบริหารราชการแผ่นดิน หรือผู้ประกอบการ แต่บีบให้อีกจำนวนมากยากจน ไม่ต่างกับคนจรจัด
ใน ค.ศ. 1869 มีการสร้างศาลเจ้ายะซุกุนิในกรุงโตเกียวเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เสียชีวิตในสงครามโบชิน
และเคนชิน ก็ได้วางดาบฆ่าคน เดินทางไปหา อาไร ชัคคู เพื่อสร้างดาบแห่งการปกป้อง ที่มีชื่อว่า “ดาบสลับคม”
เคนชินก็ออกเดินทาง ในฐานะ คนพเนจร เร่ร่อนช่วยคนไปเรื่อย ในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่แสนยุ่งเหยิงนี้…
“เมื่อสงครามจบแล้ว…ข้าน้อยจะไม่ฆ่าใครอีก ไม่อีกแล้ว…”
นี่คือเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ จากการ์ตูน ซามูไรพเนจร และเตรียมความพร้อมสู่การรับชมภาพยนตร์ ภาคสุดท้าย ที่เราจะได้เห็นอีกมุมของมือสังหารกลับใจ ที่พาเราไปดูในยุคที่เขายังคงฆ่าคนราวกับเทพอสูร ใน “ซามูไรพเนจร : ปฐมบท” ทาง NETFLIX เท่านั้น
แอดมิน AK47
ที่มา
“Nagasaki in the Meiji Restoration: Choshu loyalists and British arms merchants”
The Making of Modern Japan. Harvard
Essay on The Meiji Restoration Era, 1868-1889
H. Van Straelen, Yoshida Shōin, Forerunner of the Meiji Restoration: A Biographical Study
Timeline of Religion and Nationalism in Meiji and Imperial Japan
Timeline of Modern Japan