F.E.A.R. [เนื้อเรื่อง]
F.E.A.R. – First Encounter Assault Recon
ประเภท : FPS / Sci-Fi / Horror
เครื่อง : PC / PS3 /Xbox360
วันวางจำหน่าย : 18 ตุลาคม 2005
พัฒนาโดย : Monolith Productions
——-
F.E.A.R. 2: Project Origin
ประเภท : FPS / Sci-Fi / Horror
เครื่อง : PC / PS3 /Xbox360
วันวางจำหน่าย : 10 กุมภาพันธ์ 2009
พัฒนาโดย : Monolith Productions
——-
F.E.A.R. 3
ประเภท : FPS / Sci-Fi / Horror
เครื่อง : PC / PS3 /Xbox360
วันวางจำหน่าย : 24 มิถุนายน 2011
พัฒนาโดย : Monolith Productions
——-
ในช่วงกลางๆยุค 2000 เป็นยุคที่เกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง หรือ FPS ออกสู่ตลาดมากมาย ทั้งฟอร์มเล็กฟอร์มใหญ่ต่างงัดเอาสารพัดจุดขายมาชนกัน แต่ก็มีอยู่เกมหนึ่งที่ดึงเอาความน่ากลัวตามสไตล์หนังสยองขวัญ ผนวกเข้ากับความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีเรื่องราวเข้มข้นหนักหน่วง และมืดมนที่สุดอีกหนึ่งเกม และยังเป็นเกมที่สร้างเสียงฮือฮาถึงความสนุก น่ากลัว สยองขวัญ ก่อนที่จะมาตกม้าตายกลายพันธุ์เป็นเกมเน้นมัลติเพลย์ในภาคจบเรื่องราวที่ชวนค้างคา…นี่คือเกมที่ชื่อว่า F.E.A.R.
เกมนี้คือ!?
“F.E.A.R.” หรือ “First Encounter Assault Recon” เป็นเกมแนวยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (FPS – first-person shooter) สร้างโดย บ.Monolith Productions และจัดจำหน่ายโดย Vivendi วางขายครั้งแรก 18 ตุลาคม 2005 ในระบบ PC และในระบบ XBOX 360 และ PS3ในปี 2006 และ 2007 ตามลำดับ และยังมีภาคเสริมยิบย่อยที่ไม่ได้เน้นเนื้อหามากนักอย่าง “F.E.A.R. Extraction Point” และ “F.E.A.R. Perseus Mandate”
และภาคต่ออย่างเป็นทางการ “F.E.A.R. 2: Project Origin” ก็วางตลาดให้กับระบบ PC PS3 Xbox360 ในกุมภาพันธ์ 2009 และภาคเสริมที่เป็นตัวเล่นออนไลน์ยิงแหลก F.E.A.R. Combat ก็ลงให้ในระบบ PC ในเดือนสิงหาคม 2007
และภาคปิดตำนานที่โดยนักวิจารณ์สับเละเทะอย่าง “F.E.A.R. 3″ โดยบ.Monolith Productions และจัดจำหน่ายโดย Warner Bros. ก็ออกสู่สายตาชาวโลกในวันที่ 21 กรกฏาคม 2011 ถึงแม้ว่าตัวเกมจะได้ “จอห์น ฮาเวิร์ด คาร์เพนเตอร์”ผู้กำกับภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ นักตัดต่อภาพยนตร์ สยองขวัญตัวพ่อของวงการ ก็ไม่อาจทำให้เกมจบลงอย่างประทับใจแฟนๆได้เลย เพราะเกมเน้นความเป็นมัลติเพลย์มากเกินไปจะเนื้อเรื่องอ่อนยวยยาบ และยืดเยื้อ มีเนื้อหานิดเดียว ที่เหลือก็ใส่ๆมาแบบขอไปที
ตัวเกมได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนต์สยองขวัญสไตล์เอเชีย ทั้งความสยองขวัญของผีอัลม่า ที่ทีมงานออกมายอมรับว่า เพราะความชื่นชอบในตัว “ซาดาโกะ” ผีสาวเฝ้าบ่อน้ำจากหนังผีญี่ปุ่น “The Ring” รวมไปถึงบรรยากาศชวนอึดอัด มืดทึม เพลง เสีงประกอบสุดปวดจิต และน่าสะอิดสะเอียน ก็ถูกใส่เข้ามาเพื่อสอดรับกับการเป็นเกมแนวสยองขวัญที่เป็นรูปธรรมอันชัดเจน
และนอกจากนั้น ยังมีลูกเล่น “การหน่วงเวลาสโลว์โมชั่น” แบบหนังของ “จอนห์ วู” ผกก.หนังฮ่องกงชื่อดัง ที่ทีมพัฒนาบอกว่าพวกเขาเป็นแฟนหนังของเฮียจอนห์เช่นกัน จึงกลายเป็นจุดขายอันโดดเด่นของเกมนี้มาทุกๆภาค รวมไปถึงระบบ AI ที่ชาญฉลาด (ในยุคนั้น) พวกมันสามารถอ่านสถาณการณ์ การเรียกกำลังเสริม การเข้าหลบมุมเพื่อต่อสู้กับผู้เล่น ก็ทำออกมาดีมากๆ จนสามารถคว้ารางวัลเกมที่มีระบบ AI ยอดเยี่ยม จากทาง GameSpot ในปี 2005 มาแล้ว…
——-
เนื้อเรื่อง
อ้างอิงเนื้อเรื่องจากทาง http://fear.wikia.com/wiki/Category:Games
เนื้อหาของเกม “F.E.A.R.” ค่อนข้างซับซ้อน ซ่อนเงื่อนพอสมควร จึงขออนุญาติเล่าในภาพรวมๆพอสังเขปนะครับ เพราะถ้าลงลึกเลย คงต้องถอดพวกบทสนทนา เทปลับต่างๆในเกมที่มีตามรายทางมาปะติดปะต่อเนื้อเรื่องกันเลย
เรื่องราวของซีรี่ยส์นี้ มีที่มาที่ไปเริ่มต้นในยุคสงครามเย็น ช่วงปี 70-80 เมื่อบริษัท Armacham Techonlogy Corporation (ต่อไปขอเรียกย่อๆว่า “ATC”) ได้รับงบประมาณสนันบสนุนจากรัฐบาล ให้ทำการวิจัย และทดลองเกี่ยวกับการถอดรหัสพันธุวิศวกรรมของมนุษย์ จนกลายเป็นโครงการ “ICARUS” ซึ่งเป็นโค้ดเนมในการสร้าง “สุดยอดทหารที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคติของรัฐบาล” ที่มีทั้งพลังกายอันยอดเยี่ยม และประสาทสัมผัสที่เฉียบคม อดทนต่อทุกสถาณการณ์ และพร้อมตายเพื่อชาติได้โดยไม่มีความหวาดกลัวในจิตใจ
แต่ทว่าทางบ.ATC ก็ได้ดำเนินโครงการคู่ขนานที่ชื่อว่า “ORIGIN” ที่ได้รับการดูแลโดย “ฮาร์แลน เวด” (Harlan Wade) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง โดยโครงการนี้จะแตกต่างจากโครงการICARUS ตรงที่โครงการนี้จะทำการทดลองเกี่ยวกับการส่งผ่านทางคลื่นสมอง ควอนตัมฟิสิกส์ และนำมาดัดแปลงในการสร้าง “กองทัพผู้ใช้พลังจิต” ที่สามารถติดต่อ และควบคุมเหล่าทหารในสนามรบได้ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของบอร์ดบริหาร ทำให้ แผนกวิจัย”ICARUS” และ แผนกวิจัย”ORIGIN”ได้ทำการควบรวม และดูแลโดย”ฮาร์แลน เวด”แต่เพียงผู้เดียว…และแน่นอนว่าการพัฒนาโปรเจคท์ลูกรักอย่าง”ORIGIN” ก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ผลการทดลองยังไม่ออกมาเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก
ในที่สุด ฮาร์แลน ก็ได้พบว่า ลูกสาวของเขา “อัลม่า เวด” (Alma Wade) ที่เป็นเด็กที่ได้เข้าโครงการนี้ เพราะเธอเป็นเด็กที่มีพลังจิตที่สูง อารมณ์รุนแรง และอ่อนไหวต่อสิงเร้ารอบตัว การทดลองกับอัลม่า ดำเนินไปอย่างทารุณอย่างมาก สำหรับเด็กเพียง 8 ขวบ ซึ่งผลลัพท์ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ และในที่สุด ฮาร์แลน ก็ค้นพบว่า พลังจิตที่รุนแรงเหล่านี้ สามารถส่งผ่านไปยัง “DNA” ได้ เขาจึงคิดที่จะให้อัลม่า “ตั้งท้อง” แต่ด้วยอายุที่ยังน้อย ฮาร์แลนจึงตัดสินใจรอให้เธอเติบโตในวัยเจริญพันธุ์ และคงสภาวะทางจิต (ซึ่งก็เป็นเวลาที่หน่วยงานรัฐบาลอย่าง “กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา” ได้ออกเอกสารยืนยันขึ้นทะเบียน บ.Armacham Techonlogy Corporation ให้เป็นบริษัทที่สามารถผลิตอาวุธอย่างถูกกฎหมายแล้ว)
7 ปีผ่านไป วันที่ขั้นตอนการฉีดน้ำเชื้อก็มาถึง ซึ่งตอนนั้น อัลม่า ก็เป็นสาวน้อยวัยเพียง 14 ปีเท่านั้น และ 1 ปีต่อมา เธอก็คลอดเด็กที่ได้รับสืบทอด DNA ของอัลม่า ที่เรียกว่า “เด็กคนแรก” ก็ลืมตาดูโลก แต่ก็ยังไม่ใช่ผลงานที่น่าพอใจนัก
แต่การทดลองอันวิปริตนี้ ยังคงเกิดขึ้นกับสาวน้อยอัลม่าอย่างต่อเนื่อง และผลของการระดมฉีดเชื้อให้เธอตั้งครรภ์ครั้งที่สองก็สำเร็จ เมื่อเธอได้ให้กำเนิด “เด็กคนที่สอง” ที่มีค่าความสามารถทางพลังจิตสูงกว่าเด็กคนแรก และเด็กคนนี้ ก็ได้ชื่อใหม่ว่า “แพกซ์ตัน เฟตเทล” (Paxton Fettel) และเมื่อเธอคลอดเด็กออกมาได้ ฮาร์แลนก็ตั้งใจจะทำการทดลองกับแพกซ์ตัน ในโครงการใหม่ “Perseus”
ส่วนอัลม่านั้น เธอถูกนำไปขัง ณ โรงทดลองใต้ดินลับที่ชื่อ “The Vault” ลึกลงไปใต้ดิน อัลม่า ถูกวางยาให้หลับไหลอยุ่ในขั้นโคม่า ถึงแม้ร่างกายจะหลับไหล แต่กระแสจิตของเธอยังคงรุนแรง และคุ้มคลั่งมากกว่าแต่ก่อน…ในตอนที่แพกซ์ตัน 7 ขวบ เขาถูกอัลม่าเข้าควบคุมจิตใจ และเริ่มลงมือสังหารหมู่พนักงาน กับ นักวิทยาศาสตร์ของATC ด้วยเหตุนี้ อัลม่าจึงถูกทำให้หลับลึกกว่าเดิม เหตุการณ์จึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง (ส่วนเด็กคนแรก ถูกฮาร์แลน เวดพาชิ่งหนีออกไปก่อนแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาค้นพบว่าเด็กคนแรก สามารถมีพัฒนาการที่ดีกว่าได้ในภายหลัง)
หลังจากการอาละวาดของแพกซ์ตัน (ที่ถูกอัลม่าควบคุม) ทางATC จึงสั่งยกเลิกโครงการ”Perseus” และเก็บมันไว้เป็นความลับสุดยอดกว่า20ปี…
———–
“F.E.A.R.”
ในปี 2025 “พลทหาร พ้อยท์แมน” (Point Man) ที่เพิ่งเข้าร่วมกับกลุ่ม “F.E.A.R.” หน่วยงานลับของรัฐบาลในการต่อต้านสิ่งที่เหนือธรรมชาติ โดยตัวของพ้อยท์แมน มีสิ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือ “Reflex” หรือ “ปฏิกริยาตอบสนอง” ที่ฉับไวกว่าคนทั่วไป (โดยที่เจ้าตัวบอกในการให้สัมภาาณ์ว่า “เขาเริ่มเห็นทุกอย่างช้าลง” จนเขาสามารถเห็นทิศทางของวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงได้) ซึ่งจุดนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลสนใจในตัวเขา และเอาเข้าหน่วย F.E.A.R. และมีเป้าหมายในการตามล่าตัว”แพกซ์ตัน เฟตเทล” ร่วมกับหน่วย “เดลต้าฟอร์ซ” ไปๆมาๆ กลายเป็นตัวแพกซ์ตัน ที่ส่ง “หน่วยรบทหารโคลน” ออกมาไล่ล่าหน่วย F.E.A.R. และเดลต้าฟอร์ซ์เสียอย่างนั้น!?
พ้อยท์แมนยังคงลากสังขาร ฝ่าดงกระสุน ทำภารกิจตามล่าตัวแพกซ์ตัน ไล่ตามทางจนมาถึงสำนักงาน บ.Armacham Techonlogy Corporation แต่ระหว่างทางที่มา เขาก็เห็นภาพซ้อนแปลกๆที่ดูน่ากลัว สยดสยอง และแทบจะทุกครั้ง เขาก็จะเห็นเด็กผู้หญิงชุดแดง ผมเผ้ารุงรัง เธอชื่อว่า “อัลม่่า เวด”! เด็กหญิงที่เป็นเหยื่อการทดลองอันวิปลาศที่ตายไปเมื่อ20กว่าปีก่อนนั่นเอง และตัวพ้อยท์แมนก็ถูกทางศูนย์เร่งให้ไล่ตามจับกุมแพกซ์ตัน ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้นำกองทัพทหารโคลนนิ่งด้วยการใช้พลังจิตอันเข้มข้นของเขา
แต่มีหลักฐานหลายๆอย่างที่เชื่อมโยงระหว่าตัวเด็กหญิงอัลม่าและตัวแพกซ์ตันเข้าด้วยกัน ซึ่งในที่สุด แพกซ์ตัน และพ้อยท์แมน ก็ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ แต่แพกซ์ตันได้ส่งพ้อยท์แมนให้จมอยู่กับภาพหลอน ที่ตัวเขาถูกแพกซ์ตันฆ่าตาย ส่วนตัวแพกซ์ตันก็หนีหายไป เพื่อค้นหาข้อมูล ที่ตั้งของ The Vault
เป้าหมายของแพกซ์ตันก็คือการปลดปล่อยอัลม่า ซึ่งอัลม่าก็ถูกปลดปล่อยออกมาจริงๆ แต่เป็นฝีมือของ “ฮาร์แลน เวด” พ่อของเธอที่รู้สึกผิด ที่ทำให้เธอต้องทนทรมาน ซึ่งแน่นอนว่าอัลม่าลงมือฆ่าพ่อของเธอด้วยความสะใจ แต่ฮาร์แลน ก็ได้ทำการสั่งปิดระบบThe Vault ไปแล้ว
พ้อยท์แมนที่ได้สติกลับมาอย่างงงๆ (เหมือนแพกซ์ตันจงใจให้เขารอด และไม่อยากให้เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้) เขายังคงตามล่าแพกซ์ตัน และเมื่อทั้งสองพบกันอีกครั้งที่The Vault เขาก็ได้รู้ความจริงว่า “เขาคือ “พี่ชายแท้ๆของแพกซ์ตัน” และ อัลม่าก็คือ “แม่แท้ๆ” ของเขา…แต่สิ่งที่แพกซ์ตันทำ คือการปล่อยปีศาจอย่างแม่ของเขาออกมา พ้อยท์แมนไม่ลังเลที่จะเอาปืนยิงเข้าแสกหน้าน้องชายแท้ๆของตนเพื่อจบภารกิจ…
พ้อยท์แมนเดินหน้าไปยัง “เครื่องปฏิกรณ์” ของโครงสร้างศูนย์วิจัยของ ATC และจัดการวางระเบิด เพื่อทำลายทุกอย่างเสีย รวมไปถึงอดีตของตนอันน่ารังเกียจนี้ พ้อยท์แมนและทีม F.E.A.R. ที่รอดชีวิต ได้เรียกให้เฮลิคอปเตอร์มารับทันเวลาก่อนที่เตาปฏิกรณ์จะระเบิด ทุกคนในหน่วยโล่งใจที่ผ่านเหตุการ์ณร้ายอันยุ่งเหยิงมาได้…
แต่ทว่า “อัลม่ายังไม่ตาย!!” และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการล้างแค้นของเธอเท่านั้น!! เฮลิคอปเตอร์ของหน่วย F.E.A.R. ร่วงลงสู่พื้น และไม่มีใครทราบชะตากรรมอีกเลย
(เนื้อหาหลังจากนั้นก็จะเป็นตัวเสริมที่ชื่อว่า “F.E.A.R. Extraction Point” คือภาคบอกเล่าเรื่องราวต่อจากนั้นนิดหน่อย พ้อยท์แมนต้องหลบหนีออกจากซากเมืองร้างไปพร้อมกับสมาชิกของทีม F.E.A.R. แต่ทว่าพ้อยท์แมนก็พลาดท่า ถูกทางATC จับตัวไป…)
—–
(หลังจากเครดิตขึ้นจนจบ ผู้เล่นจะได้ยินเสียงการสนทนาระหว่าง “สมาชิกวุฒิสภา” และ “เจเนเวีย อริสทีด” ประธานของ บ.Armacham Techonlogy Corporation ที่ต้องการทดสอบความสามารถของ first prototype อย่าง “พ้อยท์แมน” ที่เธอได้รับผิดชอบดูแลมาตลอด ว่าเก่งกว่าตัวทดสอบของโปรเจคท์ออริจิน)
—–
“F.E.A.R. 2: Project Origin”
เป็นเรื่องราวที่เล่าในช่วงเวลาเดียวกันกับภาคแรก ในภาคนี้ผู้เล่นจะสวมบทเป็น “จ่าสิบเอก ไมเคิล เบคเกท” (Sgt.Michael Becket) เจ้าหน้าที่หน่วยเดลต้าฟอร์ซ ที่เห็นภาพหลอนของผีอัลม่าโดยบังเอิญในขณะที่กำลังถูกส่งตัวมายัง บ.ATC เพื่อทำภารกิจคุ้มกันประธานบริษัท “เจเนเวีย อริสทีด” แต่ทว่าก็มีการต้อนรับด้วยฝูงหน่วยทหารรับจ้างที่ต้องการตัวเจเนเวียเช่นกัน แน่นอนว่าหน่วยเดลต้าฟอร์ซกวาดเรียบ จนมาพบกันได้ โดยเจเนเวียเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น (เพียงเล็กน้อย) รวมไปถึงเรื่องราวของโปรเจคท์ “Harbinger” (ที่เป็นการทดลองเกี่ยวกับพลังจิตโดยที่ไม่มีอัลม่า) และเธอฝากฝังไมเคิล ให้จัดการกับอัลม่าให้ได้ แต่ในตอนนั้นเอง ที่“เกิดการระเบิดของเครื่องปฏิกรณ์” (ที่พ้อยท์แมนได้วางเอาไว้ในตอนใกล้จบภาคแรก) ก็ส่งผลให้เมืองทั้งเมืองอยู่ในสภาพถูกทำลาย ไมเคิลหมดสติไป…
แต่เมื่อเขาเริ่มได้สติ เขาก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในโรงพยาบาลลับใต้ดิน และกำลังถูกผ่าตัดโดยทีมแพทย์ของเจเนเวีย และเริ่มเห็นภาพของอัลม่าบ่อยมากขึ้น ราวกับอาการหลอนประสาทยังไม่จางหาย แถมยังต้องหนีการไล่ล่าของหน่วยกวาดล้างของ ATC ที่นำโดย “ริชาร์ด วาเนค” (Richard Vanek) แต่ด้วยการช่วยเหลือของชายลึกลับที่ติดต่อในนาม“สเนคฟิสท์” (Snake Fist) ก็ได้บอกถึงทางออกให้ไมเคิล รวมไปถึงการอธิบายว่าตอนนี้ ไมเคิลตกเป็นเป็าของอัลม่า เพราะตอนนี้เขาถูกผ่าตัด ดัดแปลงจนสามารถติดต่อกับอัลม่า
หลังจากที่เขาหนีออกมาจนถึงพื้นดิน เขาก็พบว่าเจเนเวีย และเพื่อนๆของเขายังคงปลอดภัย แต่คงไม่นานนัก เพราะ “โรงเรียนประถม Armacham” ที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ ก็กำลังจะถูกโจมตี และเมื่อไมเคิลเดินทางไปตามที่สเนคฟิสท์บอก เขาก็พบว่าใต้โรงเรียนนี้ ก็คือแลปทดลองหนึ่งในโครงการอง ATC ที่ชื่อ “Paragon” ที่มีเป้าหมายในการหาตัวคนที่มีความสามารถเหมือนกับแพกซ์ตัน และ โปรเจคท์ “Harbinger” ที่ประสปผลสำเร็จอย่างดีก็คือ “ตัวของไมเคิล” (ผู้เล่น) และ “จ่าคีแกน” เพื่อนร่วมรบในหน่วยนั่นเอง(แต่คีแกนออกอาการเอ๋อให้เห็น ซึ่งอาจจะตีตกเป็นผลงานที่ไม่สมบูรณ์ในภายหลัง) โดยในขั้นต่อไปก็คือการทำให้ไมเคิล ควบคุมทหารโคลนให้ไปกำจัดอัลม่าให้ได้…และที่แลปนี้ ริชาร์ด ก็ถูกไมเคิลกำจัดลงได้อย่างเฉียดฉิว
เมื่อไมเคิลได้พบกับสเนคฟิสท์ ซึ่งได้เล่าความจริงว่าเขาคือ “เทอร์รี่ ฮัลฟอร์ด” (Terry Halford) นักวิทยาศาสตร์ของ ATC ที่รอดชีวิต และได้บอกถึงวิธีจัดการกับอัลม่า โดยเขาแนะนำให้เดินทางไปที่ “Still island” โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ที่เป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยพลังงาน เพื่อให้ไมเคิลไปเดินเครื่องเร่งพลังงาน เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่ไมเคิลจะสามารถเอาชนะอัลม่าด้วยพลังจิตที่สูงกว่า
ระหว่าทางไปยัง Still Island กลุ่มของไมเคิล ที่นำโดย ร้อยตรีสโต๊ก / จ่าโมราเรส และ จ่าคีแกน ก็พบกับการโจมตีจากเหล่าทหารโคลน และสารพัดปีศาจ หลังจากนั้นเราก็พบว่าคีแกนมีอากาเหม่อลอย และเดินไปยังจุดที่มีการระเบิดของโรงงานในฉากแรก แล้วก็หายไป
ทั้งหมดตัดสินใจเดินทางต่อไปยัง Still Island ระหว่างทางมีเหล่าศัตรูมากมายให้เลือกยิงกันอุตลุตตลอดเส้นทาง เพื่อนบาดเจ็บล้มตายไปก็มี จนมาถึงที่ Still Island ไมเคิลกำลังจะได้เดินเครื่องขยายพลังจิตเพื่อปิดเรื่อง และเจเนเวียก็ทำการหักหลังไมเคิลด้วยการเก็บเหล่าสมาชิกเดลต้าที่รอดอยู่ และยิงร้อยตรีสโต๊กทิ้งต่อหน้าต่อตา เจเนเวียให้เหตุผลกับไมเคิลว่า ตอนแรกเธอตั้งใจจะกำจัดอัลม่าจริงๆ แต่พอมาคิดดูอีกครั้ง เธออยากจะส่งไมเคิลไปอยู่กับอัลม่าซะเลย เพราะรู้มากเกินไปนั่นเอง
ในมิติของกระแสจิต ไมเคิลได้สู้กับคีแกน และไปสับสวิทช์เครื่องเร่งอนุภาคควอนตัม เพื่อสลัดภาพของมิติอัลม่าให้หลุด…โดยการสับสวิทช์หนึ่งครั้ง อัลม่าที่ปรากฎตัวในโลกจริงก็เข้าใกล้เราเรื่อยๆ…และทุกครั้งที่สับสวิทช์ ไมเคิลก็จะเห็นภาพตัวเองถูกอัลม่าข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงสวิทช์อันสุดท้าย…อัลม่าหายไป เครื่องขยายพลังจิตถูกเปิดออก
สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็คือโลก ที่กำลังลุกเป็นไฟ…และอัลม่าที่กำลังตั้งท้องลูกของไมเคิล ในฐานะ “เด็กคนที่สาม” น้องเล็กสุดท้องคนละพ่อของพ้อยท์แมน และ แพกซ์ตันนั่นเอง บัดนี้ หายนะครั้งใหม่ รอการถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกครั้งในอีกไม่ช้า…
——-
“F.E.A.R. 3″
9 เดือน หลังจากเรื่องราวในภาคแรก และภาคสองจบลง (สองภาคแรกเกิดในเวลาไล่ๆกันไม่กี่ชม.) พ้อยท์แมน พระเอกของภาคแรกถูกจับตัวโดย ATC และถูกขังอยู่ในอเมริกาใต้ แถมถูกซ้อมอย่าสาหัสในคุกนรกแห่งนี้ แต่ทว่าวันหนึ่ง ก็มีคลื่นพลังงานบางอย่าง ได้เข้ามาจัดการกับพวกทหารของ ATC จนหมดคุก ภาพที่พ้อยท์แมนเห็นตรงหน้าก็คือ “แพกซ์ตัน เฟตเทล” น้องชายแท้ๆที่เขาลงมือฆ่าตายไปเมื่อ9เดือนก่อน ที่เป็นคนช่วยเขา โดยคราวนี้พลังของแพกซ์ตันเหนือชั้นถึงขั้นสามารถสิงร่างใครก็ได้ แล้วบังคับให้ฆ่าตัวตาย หรือแทรกจนร่างระเบิดได้
เหตุผลที่แพกซ์ตันที่มาช่วยพี่ชายของเขาก็เพื่อต้องการให้พ้อยท์แมนช่วยเขาตามหาแม่ หรือ “อัลม่า” ที่ยังคงส่งคลื่นสมองที่ทำให้คนกลายเป็นพวกคุ้มคลั่ง และพ้อยท์แมนก็ต้องการที่จะหยุดอัลม่าด้วยอยู่แล้ว แต่เป้าหมายที่แท้จริงของแพกซ์ตันยังคงเป็นความลับอยู่…
การหลบหนีเป็นไปได้ด้วยดี(?) ทั้งคู่สามารถยึด เฮลิคอปเตอร์ของATC เพื่อไปที่เมือง “แฟร์พอร์ท” (Fairport) เพื่อไปพบกับ “จิน ซุน ควอน” เจ้าหน้าที่หน่วย F.E.A.R. ที่ยังรอดชีวิต แต่ฮ.ดันตกไปชนเข้ากับตัวห้างสรรพสินค้า จากการที่อัลม่าระเบิดพลังจิตอย่างรุนแรง ทำให้เกิดพวกคนบ้าคลั่ง เข้ามาทำร้ายทั้งสองคนตลอดทาง แถมยังมีเหล่าภาพหลอนคอยหลอกพ้อยท์แมนเป็นระยะๆ พร้อมๆกับภาพความทรงจำของพ้อยท์แมนในวัยเด็กที่เคยเลือนหาย ทั้งสองเริ่มรู้จักตัวตนในอดีตของกันและกันมากขึ้น
ทั้งคู่ก็ฝ่าดงคนคลั่ง ทหารโคลน กองทัพหุ่นเหล็กมาที่สนามบิน เพื่อพบกับจิน และในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้พบกับ “จ่าสิบเอก ไมเคิล เบคเกท” (Sgt.Michael Becket) เจ้าหน้าที่หน่วยเดลต้าฟอร์ซ พระเอกของภาคที่แล้ว ที่หลบหนีออกมาจากการถูกผีอัลม่าข่มขืนมาได้ แต่เขาก็ถูกแพกซ์ตันเข้าสิงร่างแล้วล้วงเอาข้อมูลของอัลม่าที่ไมเคิลเจอและรับรู้มา “อัลม่ากำลังจะให้กำเนิดน้องชายคนที่สามของพวกเขา” แถมมีโอกาสที่จะเป็นคนที่มีพลังจิตสูงกว่าใครๆในโลก ถึงขั้นเป็นตัวการของการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติได้… เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แพกซ์ตันก็ทำการระเบิดร่างของไมเคิลทิ้ง ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าจะต้องไปไหนต่อ เพื่อพบกับที่ซ่อนของอัลม่า… “ห้องทดลอง Project Origin”
ที่“ห้องทดลอง Project Origin” โรงฝึกทหารเก่าในศูนย์วิจัยร้างของ ATC ในอดีต สถานที่ๆ “ฮาร์แลน เวด” ได้สร้างเพื่อทำการทดลองเหล่าผู้มีพลังจิตอันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันวิปลาศนี้ ทั้งคู่ได้เข้าไปตามหาจุดความทรงจำที่เป็นสิ่งของต่างๆในวัยเด็กของพวกเขา
และที่นั่นก็มี “ครีป” (Creep) ปีศาจขนาดยักษ์ที่เกิดจากความเกลียด กลัว และพยาบาทต่อฮาร์แลน พ่อแท้ๆของอัลม่า ผสมกับพลังจิตอันแรงกล้า รอพวกเขาอยู่ ซึ่งกว่าจะเอาชนะได้ ก็เป็นไปอย่างยากลำบากมาก และเมื่อเอาชนะได้ก็จะทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับฮาร์แลนของอัลม่าสลายไป
ในที่สุด สองพี่น้องก็มาถึง “ห้องทดลอง Project Origin” ที่ๆอัลม่าอยู่ ในตอนนี้เธออยู่ในสภาพเจียนอยู่เจียนไป และ“น้องชายคนที่3″ ก็กำลังจะออกมาดูโลก และแพกซ์ตันก็ออกมายอมรับว่า เขาต้องการให้พ้อยท์แมน พาเขามาเพื่อเอาร่างของทารกคนนี้มาเป็นร่างสถิตย์ถาวรของเขา เพราะเป้นร่างที่มีพลังจิตสูงมาก และเมื่อได้พลังของเขาเข้ามารวมด้วยก็ยิ่งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าพ้อยท์แมนไม่ยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนั้นแน่ เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน สองพี่น้องจึงต้องสู้กันเองจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง…(ผลลัพท์จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เล่นสะสมแต้มตัวละครที่ใช้บ่อยๆในการเล่น)
จบเรื่องด้วยพ้อยท์แมน – Good End
สองพี่น้องต่อสู้กัน แต่ทว่าพลังของแพกซ์ตันมีไม่มากพอ ทำให้พ้อยท์แมนได้จังหวะชักปืนพกยิงเข้าแสกหน้า ส่งน้องชายลงหลุมไปเป็นครั้งที่สอง หลังจากนั้นพ้อยท์แมนกำลังยืนครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับเด็กที่กำลังจะเกิด ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะรับทารกที่เพิ่งเกิดคนนี้ ไปดูแล และจะชี้นำให้เขาเป็นเด็กที่เติบโตอย่างมีความสุข อัลม่าที่หมดห่วง เพราะความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดจาก “ฮาร์แลน เวด” ถูกพ้อยท์แมนกำจัดระหว่างมาที่นี่แล้ว ก็ทำให้เธอสบายใจ และค่อยๆสลายไปอย่างสงบในที่สุด เจ้าหน้าที่จิน ซุนควอนติดต่อมาว่า ความโกลาหลทุกอย่างก็จบลงแล้ว…
จบเรื่องโดยแพกซ์ตัน – Bad End
สองพี่น้องต่อสู้กัน แต่ทว่าพลังของพ้อยท์แมนนั้นมีไม่มากพอ เพราะอาการบาดเจ็บจากที่ฝ่าดงกระสุนมามากมาย ทำให้แพกซ์ตัน สามารถเข้าสิงร่างของพ้อยท์แมนได้อย่างสมบูรณ์ แพกซ์ตันรับเด็กทารกคนนั้นมาไว้ในมือ และเขาก็เริ่มลงมือกระซวกไส้แม่ของตัวเอง เพื่อรับเอาพลังของอัลม่ามาไว้ในตัวด้วย เท่ากับว่า พลังของพ้อยท์แมน พลังของอัลม่า พลังของตน และน้องชายที่เพิ่้งเกิด อยู่ในการครอบครองของแพกซ์ตันโดยสมบูรณ์ และโลกก็จะพบกับจุดจบในไม่ช้านี้แล้ว
—END—
อ้างอิงเนื้อเรื่องจากทาง http://fear.wikia.com/wiki/Category:Games
หากผิดพลาด ขออภัย เพราะเกมตั้ง 10 ปีแล้ว คงมีลืมๆ+แปลวิกิมึนๆไปบ้างละนะ…
แอดมิน Ak47
-
BEYBLADE X : 10 ตัวน่าซื้อ ของมันต้องมีในปี 2024
#beybladex #kctoysbeybladex #beybladexthailand
-
KARATE KID: LEGENDS [เรื่องย่อ / ตัวอย่าง / หนังใหม่ /2025]
#KarateKidMovie #KarateKi #เฉินหลง #JackieChan
-
20 ตัวละครจากเกมยอดนิยมที่ถูกค้นหามากที่สุดในเวปไซต์สำหรับผู้ใหญ่ 2024
#Ranking #website #Games #PC #Console