“กันดั้ม” (Gundam) ถือเป็นเรียลโรบ๊อตอนิเมชั่นที่โด่งดังมายาวนานกว่า 35 ปี และมีภาคต่อรวมไปถึงภาคอื่นๆ อีกมากกว่า 38 ภาค (นับรวมทั้งอนิเมชั่นทีวีซี่รี่ย์, หนังโรงและ OVA-ONA) แต่ภาคที่ถือเป็นจุดปฐมบทก็คือ “Mobile Suit Gundam 0079” ในจักรวาลที่ชื่อ Universal Century (U.C.) หรือในปีศักราชอวกาศนั่นเอง … โดยนับจากการสิ้นสุดของยุคเก่าในปี ค.ศ. 2045
บทความนี้จะขอบอกเล่าข้อมูลของสิ่งที่อยู่ในจักรวาล U.C. เพื่อให้ได้เข้าในเนื้อเรื่องภายในเรื่องให้มากยิ่งขึ้น
สารบัญค้นหา
อนุภาคไมนอฟสกี้ ไซคอมมิว โคโลนี่ โมบิลสูท สงครามหนึ่งปี อนาไฮม์ อเล็กโทนิคส์ สหพันธ์โลก จาโบร
อนุภาคไมนอฟสกี้ (Minovsky Particle)
เตาปฏิกรณ์ไมนอฟสกี้
เป็นอนุภาคพลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยาทางนิวเคลียร์ฮีเลียมแบบที่ 3 (Helium 3 deuterium) ที่ใกล้เคียงการฟิวชั่น ซึ่งสามารถควบคุมได้ ตัวอนุภาคนี้มีขนาดของมวลใหญ่กว่าอิเล็กตรอน แต่มีคุณสมบัติในการเหนี่ยวนำด้วยสนามแม่เหล็กได้ คิดค้นโดย “ดร. เทรนอฟ ไมนอฟสกี้” (Dr. Trenov Y. Minovsky) ในปี U.C. 0047
ดร. เทรนอฟ ไมนอฟสกี้ผู้ค้นพบอนุภาคไมนอฟสกี้
สูตรทางฟิสิกส์ของอนุภาคไมนอฟสกี้ตามท้องเรื่อง
ความพิเศษของอนุภาคไมนอฟสกี้นั้นมีมวลที่เบามาก (เพราะเป็นฮีเลียมที่เบากว่าอากาศ) สามารถใช้เป็นพลังงานกลในการขับเคลื่อนเครื่องจักร ในยุค UC นั้นได้มีการสร้างเตาปฏิกรณ์ไมนอฟสกี้ (Minovsky Reactor) เพื่อสร้างอนุภาคนี้ โดยหลักๆ แล้วอนุภาคไมนอฟสกี้ถูกนำมาใช้งานดังนี้
- ขับเคลื่อนเครื่องจักร อย่างเช่นยานรบ, โมบิลอาร์เมอร์ จำเป็นต้องสร้างเครื่องยนต์ขับดันอย่าง “ไมนอฟสกี้ คราฟท์” (Minovsky Craft) ขึ้นมา เนื่องจากจำเป็นต้องมีเตาปฏิกรณ์ไมนอฟสกี้และเครื่องยนต์ขับดันไมนอฟสกี้ คราฟท์ ที่มีขนาดใหญ่ จึงไม่สามารถนำมาติดตั้งให้กับเครื่องจักรขนาดเล็กอย่างโมบิลสูทได้ (แต่ในภายหลังสามารถพัฒนาและสร้างเครื่องยนต์ขับดันไมนอฟสกี้ คราฟท์ที่มีขนาดเล็กลงได้ จึงนำไปติดตั้งให้กับโมบิลสูทอย่าง XI Gundam, V Gundam, V2 Gundam)
RX-105 Ξ (XI) Gundam
LM312V04 Victory Gundam
LM314V21 Victory 2 Gundam
- อนุภาคไมนอฟสกี้สามารถรบกวนสัญญาณคลื่นวิทยุรวมถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยขึ้นกับความเข้มข้นอนุภาคที่ถูกปลดปล่อยออกมา ในสนามรบนั้นเรดาห์จะไม่สามารถใช้การได้อย่างเต็มที่ ระบบสื่อสารทางไกลจะถูกขัดขวาง ทำให้ต้องเปิดระบบสื่อสารในย่านความถี่ต่ำ (ในภาค Mobile Suit Gundam Thunder Bolt จะเห็นภาพชัดเจนที่สุด )
- ใช้เป็นพลังงานได้ เนื่องจากอนุภาคไมนอฟสกี้มีคุณสมบัติในการเหนี่ยวนำด้วยสนามแม่เหล็กได้ มีการนำมาพัฒนาเพื่อการทหารใช้ยิงแทนกระสุนโลหะได้ เช่น Beam rifle สามารถเหนี่ยวรั้งให้คงรูปได้เช่น Beam Saber เพื่อตัดผ่าวัตถุได้ทุกชนิด แต่หากอนุภาคไมนอฟสกี้เกิดการชนกันจะผลักตัวออกจากกัน (ตัวอย่างเช่นโมบิลสูทใช้ Beam Saber เข้าปะทะกัน อนุภาคไมนอฟสกี้จะไม่สามารถวิ่งผ่านตัวอนุภาคเดียวกันไปได้) จึงนำหลักการนี้มาสร้างสนามพลังอย่าง I-Field เพื่อป้องกันการโจมตีด้วย Beam rifle และ Beam Saber ได้ (แต่ไม่ป้องกันกระสุนโลหะและแรงระเบิดได้)
Beam Saber
Beam Rifle (Magnum)
I-Field
ไซคอมมิว (Psycommu)
หรือในชื่อเต็มๆ คือ “Psychic communicator” เป็นระบบปฏิบัติการบังคับเครื่องจักรกล ผ่านกระแสพลังจิต โดยที่ระบบนี้จะตอบสนองต่อผู้ที่เป็น “นิวไทป์” เท่านั้น ระบบไซคอมมิวนั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นทางการทหารเพื่อใช้กับเครื่องจักรอย่างโมบิลสูทและโมบิลอาร์เมอร์ โดยมีการสร้างห้องนักบินที่เรียกว่า “ไซโคเฟรม” (Psycho-Frame) ที่มีคุณสมบัติในการขยายคลื่นกระแสพลังจิตของนักบินที่เป็นนิวไทป์ เครื่องจักรกลที่ติดระบบนี้จะมีการตอบสนองด้านการควบคุมได้รวดเร็วกว่าเครื่องจักรกลที่ควบคุมด้วยระบบแมนนวลทั่วไปมากๆ รวมไปถึงอาวุธใช้งานเด่นๆ ของเครื่องจักรกลที่ติดระบบนี้จะเป็นประเภทบิท (Bit) ควบคุมระยะไกลอย่างเช่น ฟันเนล (Funnel) เป็นต้น
man-08 Elmeth คือโมบิลอาร์เมอร์รุ่นแรกที่ใช้นักบิน “นิวไทป์” ควบคุม
RX-93 ν (NU) Gundam (ตัวกลาง) และ RX-0 Unicorn Gundam (ตัวล่าง) คือหนึ่งในโมบิลสูทที่ติดตั้งไซโคเฟรม และใช้ระบบไซคอมมิวในการควบคุม
Fin Funnel อาวุธควบคุมระยะไกลที่ใช้พลังจิตในการควบคุมโดยนักบินที่เป็นนิวไทป์
โคโลนี่ (Colony)
Space Colony ในแนวคิดของGerard K. O’Neill
นับตั้งแต่มนุษย์ชาติได้รู้ว่าอวกาศมีจริง และอยากที่จะขึ้นไปข้างบนนั้น… ในยุคเริ่มต้นของปีศักราชอวกาศ ได้เริ่มมีการก่อสร้าง “อาณานิคมบนอวกาศ” เพื่อรองรับประชากรของโลกที่มีจำนวนที่มากขึ้น โดยการออกแบบโคโลนี่นั้นจะเน้นพื้นที่เพื่อรองรับประชากรได้มากกว่าหลักแสน รูปทรงของโคโลนี่จะเป็นทรงกระบอก มีกระจกรับแสงอาทิตย์ที่หันไปทางด้านดวงอาทิตย์ เพื่อรับพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้งานได้ รวมถึงเรื่องของการเคลื่อนที่ของอากาศเมื่อมีความร้อนทอดผ่านด้วยในเรื่องของแรงดึงดูดนั้น… วัตถุที่มีมวลสารมากจะก่อให้เกิดแรงดึงดูดขึ้นมาได้ ดังนั้นวัตถุขนาดมหึมาอย่างโคโลนี่จึงต้องมีการ “หมุนตัว” อยู่ตลอดเวลา ก็เพื่อสร้าง “แรงโน้มถ่วงเทียม” ให้เกิดขึ้นภายใน (ให้หลักการหมุนเหวี่ยงให้วัตถุมวลเบาต่างๆ ยึดเกาะกับวัตถุมวลหนักที่ต่างกัน) นั่นเอง
บรรยากาศภายในอาณานิคมอวกาศ (ในภาค Mobile Suit Gundam Age)
ภาพอาณาเขตของอาณานิคมอวกาศในยุค UC (ในภาค Mobile Suit Gundam Unicorn)
เขตอาณานิคมอาณานิคมอวกาศในยุค UC นั้นจะแบ่งเขตการปกครองเป็น 8 ไซด์ ซึ่งได้แก่
- Side 1 จะตั้งอยู่ในจุดที่ Lagrangian point 5 (หรือ L5) มีชื่อเรียกว่า “ซาห์” (Zahn) แบ่งโคโลนี่ออกเป็น 6 แห่งคือ Shangri-La, Londenion, Colony 30, Island Blade, Island Ease, และPia Albanian colony
ไซด์ 1 นั้นเป็นหนึ่งในเขตการปกครองของทางสหพันธ์โลกที่ถูกฝ่ายจักรวรรดิซีออนบุกโจมตีเป็นที่แรกในสงครามหนึ่งปี
- Side 2 จะตั้งอยู่ในจุด L5 มีชื่อเรียกว่า “เฮทท์” (Hatte) เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของทางสหพันธ์โลกที่ถูกฝ่ายจักรวรรดิซีออนบุกโจมตีเป็นที่แรกในสงครามหนึ่งปี แล้วซีออนก็ได้ใช้โคโลนี่ร้างแห่งหนึ่งทิ้งลงบนพื้นโลกในแผนยุทธการบริทิส ในภายหลังไซด์ 2 ถูกปกครองโดยจักรวรรดิซันสการ์ (Zanscare Empire) แบ่งโคโลนี่ออกเป็น คือ Amelia, Macedonia, Blue 3, Calabria, Heras, Island Iffish Colony 13, 18th Block และ 21st Block
- Side 3 จะตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของดวงจันทร์ตรงจุด L2 มีชื่อเรียกว่า “มุนโซ่” (Munzo) ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองของฝ่ายจักรวรรดิซีออน ซึ่งแต่เดิมนั้น ซีออน แซม ไดคุน” (Zeon Zum Deikun)ผู้นำแนวคิดสเปซนอยด์ได้พยายามเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองจากรัฐบาลสหพันธ์โลก และสถาปนารัฐซีออนขึ้น ก่อนที่ถูกตระกูลซาบี้ที่เป็นตระกูลใหญ่อีกหนึ่งที่สำคัญต่อระบบการปกครองลอบสังหารแล้วทำการยึดอำนาจทั้งหมดในปี U.C. 0068 จนในปี U.C. 0079 จึงได้ประกาศสงครามแยกตัวกับฝ่ายรัฐบาลโลกในที่สุด
ภายหลังจากจบสงครามหนึ่งปี ไซด์ 3 ได้อยู่ภายใต้การดูแลของ “ดาร์เซีย บาคารอฟ” (Darcia Bakharov) นายกรัฐมนตรีคนแรก ในนามของ “สาธารณรัฐซีออน” (Republic of Zeon) มีการปรับลดบทบาททางทหารลงให้เหลือเพียงกองกำลังป้องกันตนเองเท่านั้น และต้องถูกทางฝ่ายสหพันธ์ควบคุมดูแลอยู่เป็นระยะ เพื่อไม่ให้มีการลุกขึ้นก่อสงครามขึ้นได้อีก
ทว่ากลุ่มทหารซีออนที่หลงเหลืออยู่บางส่วนยังคงไม่ยอมรับแนวทางการเปลี่ยนแปลงนี้ และทั้งยังเชื่อมั่นในจิตวิญญาณแห่งชาวสเปซนอยด์ที่ไม่ต้องการถูกแรงโน้มถ่วงของโลกพัฒนาการวิญญาณเอาไว้ กลายเป็นกองทหารผีในนาม “ซากเดนสงครามซีออน” (Zeon Remnants)
- Side 4 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Moore” อยู่ในจุดL5 ก่อนจะถูกย้ายไปอยู่ในเขต L1 ในปี U.C. 0084 เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของทางสหพันธ์โลกที่ถูกฝ่ายจักรวรรดิซีออนบุกโจมตีเป็นที่แรกในสงครามหนึ่งปี (อ้างอิงจากภาค Mobile Suit Gundam Thunder Bolt) ทั้งยังเป็นเขตอุตสาหกรรมที่ 7 (Industrial 7) หลังจากนั้นนั้นที่ไซด์ 4 ยังเป็นเขตชายแดนในการต้านทานจักรวรรดิครอสโบน แวนการ์ด (Crossbones Vanguard) ในภาค F-91 ในชื่อโคโลนี่ New Manhattaและยังเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ในการต่อต้านกลุ่มอิลลูมินาติ (Illuminati)ในภาค G-Saviour
- Side 5 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Loum” ตั้งอยู่ที่จุดL1ถือเป็นจุดปะทะกันในอวกาศครั้งแรกของฝ่ายสหพันธ์โลกและจักรวรรดิซีออน ที่เรียกว่า “สมรภูมิลูม” ซึ่งจุดนี้เป็นตำแหน่งที่ฝ่ายจักรวรรดิซีออน ใช้เป็นจุดสำหรับการยกกำลังบุกลงมาที่โลก
ในช่วงหลังสงครามหนึ่งปีถัดมา… จุดนี้ได้เป็นตำแหน่งที่ตั้งของ “โคโลนี่เท็กซัส” (Texas Colony)
- Side 6 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ไรอา” (Riah) ตั้งอยู่ที่จุด L4 เป็นอีกหนึ่งแห่งที่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายจักรวรรดิซีออน ทำสงครามประกาศเอกราชจากสหพันธ์โลก ทว่าเมื่อฝ่ายจักรวรรดิซีออนพ่ายแพ้จากสงครามหนึ่งปี ทำให้ต้องมาออกประกาศจุดยืนของตนเองว่าอยู่ในฐานะเป็นกลาง เพื่อรักษาเสถียรภาพของตนเองเอาไว้ แบ่งโคโลนี่ออกเป็น คือ Libot, Baldur Bay, Franchesca, Ontario, Ukraine, Kamiigusa, Palda, Morudeigan และNew Madera
- Side 7 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “นัว” (Noa) ตั้งอยู่ที่จุดL3 มีโคโลนี่อยู่สองแห่งด้วยกัน ในช่วงของสงครามหนึ่งปีนั้น… ทางฝ่ายสหพันธ์โลกได้เริ่มโครงการพัฒนาโมบิลสูทรุ่นใหม่อย่างลับสุดยอดขึ้นในชื่อ “โปรเจ็คท์ V” (Project V) ที่นี่ ซึ่งแผนโครงการนี้ได้ถูกฝ่ายจักรวรรดิซีออนล่วงรู้และเข้ามาทำลายโมบิลสูทรุ่นดังกล่าว (ฉากเปิดเรื่องในกันดั้มตอนแรกสุดนั่นเอง)
ภายหลังต่อมา… ไซด์ 7 นั้นมีการเปลี่ยนชื่อจากเดิมเป็น “กรีน นัว 1” (Green Noa 1) และ “กรีน นัว 2” (Green Noa 2) ต่อมาในปี U.C. 0085 ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น กริฟส์ และ กริฟส์ทู (Gryps, Gryps II)
- Side 8 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ไกอา” (Gaia) ตั้งอยู่ที่จุดL1 ซึ่งเป็นโคโลนี่ลำดับท้ายตามท้องเรื่องในปี U.C. 0223 (ภาค G-Saviour) เป็นอาณานิคมอวกาศอยู่ดำรงชีพอยู่บนพื้นฐานของการเกษตรเป็นหลัก
ซึ๋งแนวคิดของโคโลนี่ในโลกของกันดั้มนั้นเป็นของ “Gerard K. O’Neill” นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ในชื่อเรียกว่า “The O’Neill cylinder”
โมบิลสูท (Mobile Suit)
เป็นชื่อแบบคำย่อที่ใช้เรียกของเครื่องจักรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ (ซึ่งแต่ละภาคจะมีคำจำกัดความที่ต่างกันไป) ในยุคของ U.C. จะย่อมาจาก “Mobile Space Utility Instrument Tatical” ซึ่งผู้ที่จำกัดความขึ้นมาคือ “บริษัทซีโอนิค” (Zeonic Company) ซึ่งเป็นบริษัทรับสัมปทานด้านเทคโนโลยีทางทหารให้กับฝ่ายจักรวรรดิซีออน ในช่วงก่อนสงครามหนึ่งปีจะเริ่มต้นขึ้น เครื่องจักรกลที่เป็นโมบิลสูทจะมีการติดตั้งเตาปฏิกรณ์ไมนอฟสกี้ภายใน เพื่อใช้เป็นพลังงานหลักแทนที่การใช้พลังงานแบบเชื้อเพลิง มีห้องควบคุมสำหรับนักบินภายใน ใช้ระบบควบคุมหุ่นพื้นฐานที่เซ็ตระบบโปรแกรมสำหรับการเดิน วิ่ง และการใช้ท่าทางให้เหมือนกับมนุษย์จริงๆ ด้วยการควบคุมเพียงไม่กี่ปุ่มเท่านั้น ถือเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงอีกหนึ่งอย่างที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างสำเร็จ โมบิลสูทเครื่องแรกที่ทางบริษัทซีโอนิคพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์คือรุ่น “ZI-XA3″ ซึ่งในต่อมาได้ทำมาต่อยอดเป็น MS-05B Zaku I นั่นเอง
ZI-XA3 คือต้นแบบของโมบิลสูทตามท้องเรื่อง
สงครามหนึ่งปี (The One year war)
คือสงครามใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ จุดเริ่มต้นคือ “การประกาศเอกราชของกลุ่มโคโลนี่ไซด์ 3 (Side 3)” หรือในชื่อ “จักรวรรดิซีออน” (Principality of Zeon) ภายใต้การนำโดย “ตระกูลซาบี้” (Zabi family) ขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในปี U.C. 0068 หลังจากที่ “ซีออน แซม ไดคุน” (Zeon Zum Deikun) ผู้นำซีออนคนก่อนถึงแก่กรรมจากการถูกปฏิวัติรัฐประหาร คู่กรณีคือฝ่ายสหพันธ์โลก (Earth Federation Space Force = E.F.S.F) กับจักรวรรดิซีออน สงครามเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคมปี U.C. 0079 และสิ้นสุดลงในวันที่ 1 มกราคม ปี U.C. 0080
รายละเอียดของสงครามมีดังนี้
- จักรวรรดิซีออนยกกองทัพเข้าโจมตีโคโลนี่ Side 1, Side 2 และ Side 4 ในวันที่ 3 มกราคมปี UC 0079
- ยุทธการบริทิส (Operation British)
Operation British แผนทิ้งโคโลนี่ลงมาที่โลก เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ร้ายแรงที่จักรวรรดิซีออนเลือกใช้เพื่อปิดสงคราม (ภาพจากภาค Mobile Suit Gundam Unicorn)
เป็นชื่อแผนยุทธการสู้รบของฝ่ายจักรวรรดิซีออน ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงของสัปดาห์แรกของช่วงเริ่มต้นสงครามหนึ่งปี โดยแผนนี้ได้ใช้โคโลนี่ร้างจาก Side 2 ทิ้งลงพื้นโลก มีจุดตกที่กำหนดอยู่ที่ “ฐานจาโบร” (Jaburo Base) ของสหพันธ์โลก แต่ด้วยความคาดเคลื่อนทำให้โคโลนี่ไปตกลงที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย มีผลกระทบทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ หากแผนยุทธการบริทิสสำเร็จและตกลงไปที่ฐานจาโบร จะเท่ากับปิดฉากสงครามได้ทันที เพราะฐานจาโบรคือฐานบัญชาการใหญ่ที่สุดของฝ่ายสหพันธ์โลก
- สมรภูมิลูม (The Battle of Loum)
เป็นสงครามทางภาคพื้นอวกาศครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม ปี UC 0079 ภายหลังจากที่แผนยุทธการบริทิสล้มเหลว ฝ่ายจักรวรรดิซีออนได้ยกกองกำลังเข้าบุกตีโคโลนี่ Side 5 หรือในชื่อ “ลูม” (Loum) ในสงครามครั้งนี้ “จอมพลเรวิล” (General Revil) ได้บัญชาการสู้รบด้วยตัวเอง จนถูกจับเป็นตัวประกัน ในศึกครั้งนี้ทางฝ่ายสหพันธ์โลกได้พ่ายแพ้สงครามอย่างหมดรูป ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโมบิลสูทในสงครามที่น่ากลัวของฝ่ายจักรวรรดิซีออน
จอมพลเรวิล (General Revil) ผู้บัญชาการสูงสุดคนสำคัญของทางฝ่ายสหพันธ์โลก
ภาพสมรภูมิลูม จากภาค Mobile Suit Gundam The Origin
เอสไพล๊อตของฝ่ายจักรวรรดิซีออนที่สร้างชื่อในสงครามครั้งนี้คือ
“ชาร์ อัสนาเบิ้ล” (Char Aznable)
“ชิน มัตซึนากะ” (Shin Matsunaga)
“จอห์นนี่ ริดเด็น” (Johnny Ridden)
รวมไปถึง “สามดาวดำ” (Black Tri Stars)
- สนธิสัญญาแอนตาร์กติก (The Antarctic Treaty)
หลังจากสิ้นสุดสงครามลูม (The Battle of Loum) ทางสหพันธ์โลกได้เปิดโต๊ะเจรจายอมสงบศึกกับฝ่ายจักรวรรดิซีออนที่ฐานในทวีปแอนตาร์กติก โดยฝ่ายจักรวรรดิซีออนได้ใช้ความได้เปรียบที่สามารถจับตัวจอมพลเรวิลผู้นำสำคัญของฝ่ายสหพันธ์โลกเอาไว้ได้ บีบให้ทางสหพันธ์โลกยกเลิกการคว่ำบาตรทุกๆ อย่างและคืนเอกราชให้แก่ชาวสเปซนอยด์ ทว่าในช่วงของการเจรจาสนธิสัญญานั้น จอมพลเรวิลถูกช่วยเหลือออกมาได้ พร้อมทั้งประกาศให้ยกระดับการต่อสู้ด้วยเทคโนโลยีด้านโมบิลสูทขึ้น
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะยังทำสงครามกันได้ต่อไป แต่ต้องอยู่ในกรอบข้อตกลงที่วางเอาไว้ร่วมกัน เช่นการห้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์และแก๊สพิษต่างๆ (NBC), ไม่ล่วงละเมิดต่อเขตโคโลนี่ที่ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับสงครามสิทธิของเชลยศึกและการปฏิบัติในระหว่างการถูกควบคุมตัว ฯลฯ
- จักรวรรดิซีออนยกกำลังบุกลงมาที่โลกเป็นครั้งแรก ปะทะกับกองทัพฝ่ายสหพนธ์โลกตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทั้งภาคพื้นเอเชีย, โอเชียเนีย ฐานโอเดสซ่า แบ่งออกเป็นสามช่วงคือ
1st Drop การยกกำลังบุกลงมาที่โลกเป็นครั้งแรก ในวันที่ 1 มีนาคม ที่ทวีปเอเชีย กองกำลังซีออนสามารถเข้าบุกสนามบินอวกาศ “ไบโคเนอร์” (Baikonur) เป็นที่แรกก่อนจะบุกรุกคืบเพื่อมุ่งไปยังทวีปยุโรปทางด้านตะวันตกของทะเลสาบแคสเปี้ยน และฟากชายฝั่งตะวันออกของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
2nd Drop การยกกำลังบุกลงมาที่โลกเป็นครั้งที่สอง ในวันที่ 11 มีนาคม กองกำลังซีออนสามารถเข้าบุกทวีปอเมริกาเหนือ ทั้งฟากด้านตะวันออกและตะวันตก จากการสนธิกำลังของกองกำลังซีออนที่ 2 และ 3 ซึ่งในสองวันจากนั้นจักรวรรดิซีออนสามารถเข้ายึดฐานของฝ่ายสหพันธ์โลกที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียได้สำเร็จ ก่อนที่ฝ่ายจักรวรรดิซีออนจะใช้ที่แห่งนี้เป็นฐานบัญชาการภาคพื้นดิน
3rd Drop การยกกำลังบุกลงมาที่โลกเป็นครั้งที่สาม ในวันที่ 18 มีนาคม กองกำลังซีออนที่ 4 สามารถเข้าบุกเข้ายึดพื้นที่ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปออสเตรเลียได้ทั้งหมด ก่อนที่กองกำลังซีออนที่ 5 จะส่งกำลังเสริมเข้ามาในทวีปอเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง ในอีกสองอาทิตย์ถัดมา
- โปรเจ็คท์ V (The Project V)
ภายหลังจากที่สหพันธ์โลกเสียเปรียบจากการสู้รบกับฝ่ายจักรวรรดิซีออนที่ได้นำกองทัพโมบิลสูทเข้ามาใช้
ในสงคราม ทางฝ่ายสหพันธ์โลกจึงได้มีการคิดค้นโมบิลสูทขึ้นมาเพื่อตอบโต้ฝ่ายจักรวรรดิซีออน ซึ่งได้เริ่ม “โปรเจ็คท์ V” ขึ้น โดยคำว่า V นั้นย่อมาจาก “Victory” โดยในโปรเจ็คท์ V ได้ดำเนินการในทางลับสุดยอด ภายใต้การคุมงานและดูแลโดย “ทิม เรย์” (Tim Ray) (คุณพ่อของอามุโร่ เรย์) หัวหน้าทีมวิศวกรของฝ่ายสหพันธ์โลก พัฒนาโมบิลสูทขึ้นมาเป็นจำนวน 3 รุ่นได้แก่
- RX-75 Guntank
- RX-77 Guncannon
- RX-78 Gundam
และรวมไปถึงยานรบประจัญบานในรุ่นของ Pegasus-class อย่าง “ไวท์เบส”
SCV-70 White Base Pegasus-class ฺBattle Ship
- ยุทธการโอเดสซ่า (Operation Odessa)
สงครามบนภาคพื้นโลกที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มใช้โมบิลสูทเข้าปะทะกัน ฝ่ายสหพันธ์โลกเป็นฝ่ายบุกเข้าตีและใช้เวลาถึงสามวันจึงจะสิ้นสุด ก่อนจะได้รับใช้ชัยชนะเป็นครั้งแรก โดยพื้นที่โอเดสซ่าที่ติดกับทะเลดำ (Black Sea) นี้มีความสำคัญทางด้านสินแร่ ที่เป็นส่วนประกอบในการผลิตอาวุธให้กับทางจักรวรรดซีออนสำหรับสงครามบนพื้นโลกอย่างมาก ถือเป็นจุดเปลี่ยนทิศของสงครามหนึ่งปีก็ว่าได้และในสงครามครั้งนี้ ฝ่ายสหพันธ์โลกสูญเสียกำลังพลไปถึง 3,700,000 นาย หน่วยโมบิลสูทจำนวน 30 หน่วย ส่วนด้านจักรวรรดซีออน “พันเอกการ์ม่า ซาบี้” (Garma Zabi) บุตรชายคนสุดท้องของตระกูลซาบี้ได้เสียชีวิตลงที่นี่ ทำให้ฝ่ายจักรวรรดซีออนสูญเสียกำลังใจในการทำสงครามอย่างมาก เหตุนี้เองทำให้ “กิเรน ซาบี้” ได้ประกาศการงานศพของน้องชายที่ถุกถ่ายทอดสดไปทั่วโลกว่าจะตอบโต้ฝ่ายสหพันธ์โลกให้ถึงที่สุด
- สมรภูมิจาโบร (Battle of Jaburo)
สงครามบนภาคพื้นโลก กองกำลังซีออนจากฐานในแคลิฟอร์เนีย ที่นำโดย “พันเอกชาร์ อัสนาเบิ้ล” ที่ได้บุกเข้าตีโรงงานผลิตอาวุธและโมบิลสูทของฝ่ายสหพันธ์โลก และได้เข้าปะทะกับ “กันดั้ม” ที่บังคับโดย “อามุโร่ เรย์” เอสไพล๊อตของฝ่ายสหพันธฺโลก ประจำยานไวท์เบส ในสงครามนี้ฝ่ายกองกำลังซีออนล้มเหลงลงอย่างสิ้นเชิง
- ภายหลังจากที่สงครามใหญ่บนภาคพื้นโลกล้มเหลวและพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายจักรวรรดิซีออนเริ่มเสียขวัญลงไปมาก อีกทั้งฝ่ายสหพันธ์โลกได้เริ่มตีโต้อย่างหนักทั้งในทวีปอเมริกา รวมไปถึงทวีปแอฟริกา จนต้องหลบหนีไปยังอวกาศ แต่กองกำลังซีออนส่วนหนึ่งยังคงต่อสู้ต่อไปในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- สมรภูมิโซโลมอน (Battle of Solomon)
ป้อมปราการโซโลมอน (ภาคจากภาค Gundam Build Fighters)
ป้อมปราการอวกาศของทางฝ่ายจักรวรรดิซีออนที่สร้างจากดาวเคราะห์น้อย ถือเป็นฐานที่มั่นทางทหารที่สำคัญทางอวกาศอย่างมาก ทางฝ่ายสหพันธ์โลกได้ตัดสินใจยกกองกำลังเข้าบุกตีอย่างหนัก ก่อนที่กิเรน ซาบี้จะสั่งให้ใช้อาวุธมหาประลัยอย่างโคโลนี่เลเซอร์ “โซล่าห์ ซิสเต็ม” (Solar System) หรือ “โซล่าห์ เรย์” (SolarRay) ยิงใส่กองกำลังฝ่ายสหพันธ์โลก ซึ่งรวมถึงฝ่ายเดียวกัน จนต้องสูญเสียกองกำลังรบไปเป็นจำนวนมาก ในศึกนี้จอมพลเรวินแห่งฝ่ายสหพันธ์โลกและ “นายพลโดเซิ่ล ซาบี้” ผู้นำแห่งจักรวรรดิซีออนได้เสียชีวิตลงในสงครามครั้งนี้
- สมรภูมิ อา บาวอา คู (Battle of A Baoa Qu)
เป็นสงครามชี้ขาดระหว่างฝ่ายสหพันธ์และจักรวรรดิซีออน โดยเกิดขึ้นจากการเข้าปฏิวัติยึดอำนาจภายในของจักรวรรดิซีออน ที่กิเรน ซาบี้ (Giren Zabi) ได้ก่อกบฎต่อ “เดกวิ้น ซาบี้” (Degwin Sodo Zabi) ผู้นำตระกูลซาบี้ผู้เป็นบิดา ในระหว่างที่กำลังทำการเจรจาของสงบศึกต่อฝ่ายสหพันธ์ที่เกิดขึ้นที่ป้อมปราการ “อา บาวอา คู” และตั้งตนเป็นผู้นำซีออนคนต่อไป ก่อนจะเปิดศึกทางอวกาศกับฝ่ายสหพันธ์เต็มรูปแบบ ทว่าในระหว่างสงครามนั้น กิเรน ซาบี้ได้ถูก “พลตรีกิซิเรีย ซาบี้” (Kycilia Zabi) ผู้เป็นน้องสาวทำการปฏิวัติซ้อนและฆ่าตาย อำนาจภายในจักรวรรดิซีออนเกิดความสันคลอนอย่างหนัก ในท้ายที่สุดกิซิเรีย ซาบี้ก็ตายในสงคราม แล้วทำให้ฝ่ายสหพันธ์ปิดฉากสงครามหนึ่งปีด้วยชัยชนะลงได้ในที่สุด
อนาไฮม์ อเล็กโทนิคส์ (Anaheim Electronics)
เป็นบริษัทแบบครบวงจรที่ผลิตสินค้าตามออเดอร์ของผู้ว่าจ้าง โดยแต่เดิมนั้นมีธุรกิจทางด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อเล็กโทนิคส์ แถมยังมีธุรกิจต่างๆ มากมายไม่ว่าด้านเวชภัณฑ์ทางด้านสุขภาพ ความงาม สินเชื่อด้านการเงิน การท่องเที่ยว อาหาร ฯลฯ มีบริษัทสาขาลูกมากกว่า 150 บริษัท มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฟอน บราว (Von Braun) และฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่กราด้าที่อยู่บนดวงจันทร์
สำนักงานใหญ่ของบริษัทอนาไฮม์ อเล็กโทนิคส์ที่ตั้งอยู่ในเขตฟอน บราว บนดวงจันทร์
บริษัทอนาไฮม์ อเล็กโทนิคส์ได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ผลิตโมบิลสูทรายใหญ่อีกแห่งในช่วงหลังสงครามหนึ่งปี พัฒนาโมบิลสูทให้กับทั้งทางสหพันธ์และจักรวรรดิซีออน อาศัยข้อตกลงในสนธิสัญญาแอนตาร์กติกประกาศตัวเป็นกลางไม่ข้องเกี่ยวกับสงคราม ทำให้ไม่สามารถถูกแทรกแซงจากฝ่ายอำนาจทางทหารจากสองมหาอำนาจได้
บริษัทอนาไฮม์ อเล็กโทนิคส์ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัทที่ผลิตโมบิลสูทก่อนหน้านี้อย่าง Zeonic, Zimmad และ MIP Corporations พัฒนาโมบิลสูทรุ่นกันดั้มไทป์อย่าง “Gundam GP-Series ที่อยู่ในภาค Stardust Memory” เป็นรุ่นแรกๆ รวมไปถึงโมบิลสูทประสิทธิภาพสูงอีกหลายๆ ตัวในท้องเรื่องก็สร้างจากบริษัทแห่งนี้
บริษัทอนาไฮม์ อเล็กโทนิคส์ไม่มีนโยบายในการสร้างอาวุธเพื่อการก่อการร้ายก็จริง… แต่หากในทางลับด้วยแล้วสามารถแอบสร้างโมบิลสูทให้กับผู้ที่มีทุนทรัพย์ในการว่าจ้างก็เพียงพอได้
สหพันธ์โลก (Earth Federation Forces)
ตัวย่อคือ E.F.F เป็นรัฐบาลโลกที่จัดตั้งเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพให้คงอยู่ไว้ แต่เดิมนั้นเป็นกลุ่มประเทศในหน่วยรบองค์การสหประชาติ (United Nations Troops = U.N.T) ที่ลงนามเอาไว้ร่วมกัน เริ่มก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี U.C. 0020 หลังจากเริ่มมีการอพยพประชาการส่วนหนึ่งขึ้นไปบนโคโลนี มีอำนาจในการต่อต้านและตอบโต้การคุกคามจากกลุ่มองค์กรหรือประเทศนอกสาสน์การลงนาม เฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายเหมือนครั้งที่เกิดขึ้นกับ “ทำเนียบลาพลัส” (Laplace) ที่ถูกวางระเบิด ในพิธีเปิดศักราชอวกาศ (ตอนต้นเรื่องของ Mobile Suit Gundam Unicorn)
สหพันธ์โลกมีการจัดตั้งกองทัพใต้สังกัดเอาไว้สี่เหล่าทัพ ได้แก่
กองทัพสหพันธ์โลกเขตภาคพื้นดิน (Earth Federation Ground Forces = E.F.G.F)
เป็นเหล่าทัพบกที่รับผิดชอบในการปกป้องเขตแดนในพื้นที่บนโลกเป็นหลัก กำลังพลหลักนั้นจะใช้พลทหารราบ, หน่วยรถถัง และโมบิลสูทรุ่นภาคพื้นดินในการรบ จัดเป็นกำลังหลักการพุ่งรบกับข้าศึกที่สำคัญมากๆ
กองทัพสหพันธ์โลกเขตภาคพื้นทะเล (Earth Federation Naval Forces= E.F.N.F)
เป็นเหล่าทัพเรือที่รับผิดชอบในการปกป้องเขตแดนในพื้นที่ทางทะเลเป็นหลัก หลัก มีศูนย์บัญชาการแยกอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย กำลังพลหลักนั้นจะใช้กองเรือประจัญบาน หน่วยเรือเร็วพิฆาต, เรือดำน้ำติดขีปนาวุธพิสัยไกล รวมถึงโมบิลสูทรุ่นใช้ในน้ำลึก
กองทัพสหพันธ์โลกเขตภาคพื้นอากาศ (Earth Federation Air Forces = E.F.A.F)
เป็นเหล่าทัพอากาศที่รับผิดชอบในการปกป้องเขตแดนในพื้นที่ทางอากาศ กำลังพลหลักนั้นจะใช้ฝูงบินขับไล่ อย่าง FF-3 Saberfish จัดเป็นเหล่าทัพในการสนับสนุนการรบให้กับเหล่าทัพอื่น
กองทัพสหพันธ์โลกเขตภาคพื้นอวกาศ (Earth Federation Space Forces= E.F.S.F.)
เป็นเหล่าทัพอากาศที่รับผิดชอบในการปกป้องเขตแดนในพื้นที่ทางอวกาศเป็นหลัก มีหน้าที่ในการต่อต้านการรุกรานกลุ่มประเทศนอกอาณาเขตพื้นโลก (โคโลนี) ถือว่าเป็นทัพหลักที่สำคัญมากๆ เสมือนประตูด่านแรกในการรับมือขาดศึก
ทัพนี้จะในอาวุธยุทโปกรณ์และยานรบระดับสูงเพื่อใช้ในอวกาศ มากถึง 17,000 ลำประจำการอยู่ที่ “ลูน่าทู” (Luna II)
จาโบร (Jaburo Base)
ภาพฐานจากโบรจากในเกม Mobile Suit Gundam : Operation : Troy
เป็นฐานทัพลับที่สำคัญของฝ่ายสหพันธ์โลก ตั้งอยู่ในโพลงถ้ำชั้นใต้ดินบริเวณปากลุ่มแม่น้ำอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ ความสำคัญคือศูนย์อำนวยการสร้างและผลิตโมบิลสูทและอาวุธสงคราม ทั้งยังเป็นศูนย์บัญชาการที่สำคัญมากในการวางแผนรับมือกับฝ่ายจักรวรรดิซีออน ตามท้องเรื่องนั้น … ฝ่ายจักรวรรดิซีออนได้วางแผนที่จะทำลายฐานทัพแห่งนี้ด้วย “ยุทธการบริทิส” ทิ้งโคโลนี่ไซด์ 2 ให้ตกลงมาที่ฐานนี้ ซึ่งหากสำเร็จจะเท่ากับปิดฉากสงครามได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ภาพการทิ้งโคโลนี่ไซด์ 2 ของฝ่ายจักรวรรดิซีออนในยุทธการบริทิส
ฐานนี้ถูกบุกตีมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในช่วงสงครามหนึ่งปี เมื่อฝ่ายจักรวรรดิซีออนนำโดย “พันเอกชาร์ อัสนาเบิ้ล” ที่หมายจะทำลายสานพานการผลิตโมบิลสูทและอาวุธสงคราม แต่กลับพลาดท่าไปซะก่อน
ภาพตอนที่ชาร์ อัสนาเบิ้ลนำกองกำลังซีออนบุกตีฐานจาโบร ในช่วงสงครามหนึ่งปี
ส่วนในครั้งที่สอง หลังจากจบสงครามหนึ่งปีไปแล้ว… ฐานแห่งนี้ยังคงถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการใช้กับหน่วยทีทานส์ ที่ขึ้นตรงต่อสหพันธ์โลก ทว่าทั้งนี้กลับถูกฝ่าย “เอวโก้” (AEUG) บุกลงมาโจมตีจนแตกพ่าย ทำให้ “จามิทอฟ ไฮมาน” ผู้นำของฝ่ายทีทานส์ตัดสินใจสละฐานจาโบรโดยการระเบิดฐานด้วยนิวเคลียร์ทิ้ง (ในภาค Zeta Gundam)
ภาพการระเบิดของฐานจาโบรด้วยนิวเคลียร์ใน Zeta Gundam
ซากปรักหักพังของฐานจาโบรและโมบิลสูทบางรุ่นในยุค UC นั้นยังไปปรากฏใน Gundam Reconguista in G อีกด้วย
ซาก Z’Gok โมบิลสูทของฝ่ายจักรวรรดิซีออนที่อยู่ในซากปรักหักพังของฐานจาโบร ใน Gundam Reconguista in G
==========================================
นี่เป็นเพียงข้อมูลบางส่วนเท่านั้นที่เอามาเขียนให้ได้อ่านกัน แล้วจะมาอัพเดทในภายหลังนะครับ
miraclesaven