Dino Crisis 3
ประเภท : Third-Person Action-Adventure game
เครื่อง : Xbox(2003)
พัฒนาโดย : Capcom
วันวางจำหน่าย : 26 มิถุนายน 2003
อีกหนึ่งตำนานเกมที่ผู้เล่นอยากตัดมันออกจากซีรีส์ Dino Crisis กันมากที่สุด… เพราะความผิดพลาดของผู้พัฒนาอย่าง Capcom ที่เลือกปล่อยเกมภาคนี้ออกมาเป็น Excusive Xbox ทั้งที่ฐานแฟนเกมอยู่กับเครื่อง Playstation…แถมเนื้อเรื่องในเกมก็ยังไม่ต่อเนื่องกับฉากจบในเกมภาคที่ 2 ซึ่งทิ้งปมให้ผู้เล่นอยากรู้ใจจะขาดกันในเวลานั้นอีก จึงทำให้ Dino Crisis 3 นับได้ว่าเป็นอีกเกมที่มี “อะไรหลายๆอย่าง” ให้ผู้เล่นจดจำมันได้แบบ “ฝังใจ”
แต่อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ทางผู้เขียนก็อยากจะพาทุกท่านให้ได้เห็นถึงเรื่องราวในเกมที่แท้จริงแล้ว “เกมนี้มันมีคอนเซ็ปต์ที่ดีไม่ใช้น้อย” รวมไปถึง ปัญหาอะไรบ้างที่ทำให้ผู้เล่นอย่างเราๆต้องส่ายหัวให้กับเกม Dino Crisis 3 กันแบบนี้
เนื้อเรื่องและการเล่าเรื่อง
แม้จะมีคอนเซ็ปต์และการดีไซน์ที่จัดได้ว่าน่าสนใจไม่น้อย กับพล็อตของอุบัติเหตุในอวกาศและแรงจูงใจในการตัดแต่งพันธุ์กรรม ซึ่งเป็นพล็อตสยองขวัญไซไฟที่เจ๋งและดูมีความน่าติดตาม แต่เนื้อเรื่องที่น่าติดตามเหล่านี้กลับถูกเล่าไว้เพียงในเอกสารเท่านั้น แทบจะไม่ได้มีภาพให้เราได้เห็นกันเลย (นอกจากหลอดทดลองกับตัวศัตรู) จึงทำให้เป็นอีกเรื่องที่น่าเสียดายมากทีเดียว
อีกทั้งฉาก Cutscenes ที่ผู้พัฒนาตั้งใจจะทำให้ภาพออกมาทันสมัย แต่การเล่าเรื่องกลับไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก… (ไม่รวมกับการดำเนินเรื่องที่ ชวนกุมขมับอีกหลายๆฉาก)
ฉากประกอบในเกม
นับว่าฉากในเกมถูกออกแบบมาได้อย่างดี และสมเป็นยานอวกาศมาก ด้วยความที่ยาน Ozymandias ถูกดีไซน์ ให้ตัวยานประกอบขึ้นจาก พื้นที่ 6ส่วนชัดเจน (Sector ต่างๆ) รวมไปถึงการเปลี่ยนรูปร่างของยานระหว่างเกม(ซึ่งเป็นการโชว์ความอลังของการออกแบบยานใน Cutscenes ได้เป็นอย่างดี)
เพียงแต่ด้วยความที่ลักษณะด้านในนั้นอิงความเป็นยานอวกาศไปซะหมดนี้เอง เลยเป็นเหมือนดาบสองคมที่ทำให้ ประสบการณ์ของผู้เล่นตลอดทั้งเกมต้องวิ่งวนอยู่ในห้องเหล็กสีเหลี่ยมที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลยในแต่ละโซน
ยิ่งพอไปเทียบกับความเจ๋งของฉากในภาคที่2 ที่มีความหลากหลายมากกว่า เพราะเราได้ไปวิ่งหนีไดโนเสาร์ทั้งในป่าและในตึก คือมีทั้งต้นไม้และกำแพงเหล็กที่ดูไม่จำเจ ก็เลยทำให้เห็นได้ชัดว่าฉากประกอบในภาคนี้น่าจดจำเทียบภาคก่อนๆไม่ได้เลย
Story
เนื่องด้วยเนื้อหาที่เกิดขึ้นในการเล่นของเกม Dino Crisis 3 นั้นจะเป็น “ช่วงปลาย” ของเรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในเกม ทางผู้เขียนจึงจะสรุปเรื่องราวทั้งหมดให้เข้าใจกันง่ายขึ้น โดยจะแบ่งเรื่องราวออกเป็น 2ส่วนคือ
“เนื้อเรื่องก่อนเหตุการณ์ในเกม” และ “เนื้อเรื่องภายในเกม”
เนื้อเรื่องก่อนเหตุการณ์ในเกม
(เป็นเรื่องราวระหว่างปี2245-2248 หรือประมาน 200ปีจากเหตุการณ์ภาคที่ 2 และ เป็นเวลา 300ปีก่อนเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเกมภาคที่ 3)
ปี 2245 เรืออาณานิคม (Colony Ship)ที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง Third Energy ชื่อ Ozymandias ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อภารกิจ การสร้างอาณานิคมแห่งใหม่ของมนุษย์บนดาวเคราะห์ที่ถูกค้นพบอย่าง a2
แต่ในปี2248 ระหว่างที่เดินทางมาถึงระบบดาวของ a2 ยานOzymandias ก็ได้รับระดับรังสีที่รุนแรงจนมันทะลุเกราะป้องกันของยานเข้ามา เป็นต้นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นบนยาน โดยจะแบ่งเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบจากรังสีผ่านบันทึกของลูกเรือดังนี้
วันพุธที่ 6 กันยายน : การแผ่รังสีที่พบในระบบดาว a2 ทำให้เกิดอาการไฟกระชากไปทั่วทั้งยาน
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน: แพทย์ทำการรักษาผู้ป่วย 40 คน โดยผู้ป่วยทุกรายยังมีอาการเจ็บป่วยจากรังสีเพียงเล็กน้อย
วันอังคารที่ 12 กันยายน: แพทย์ได้รายงานกับกัปตันว่าลูกเรือกว่า 40 คนนั้นเริ่มมีอาการป่วยจากรังสีหนักขึ้น
วันพุธที่ 13 กันยายน: สัญญาณเตือนรังสีดับลงเวลา 12:00 น.
พฤหัสบดี 14 กันยายน: กัปตันประกาศกับลูกเรือทั้งหมดว่าการเดินทางของพวกเขาอาจจบลงด้วยชะตากรรมอันน่าสยดสยอง
วันศุกร์ที่ 15 กันยายน: บุคลากรทางการแพทย์ที่ยังทำงานได้เริ่มมีไม่เพียงพอและไม่สามารถรับผู้ป่วยฉุกเฉินได้ทัน ซึ่งขณะนี้ลูกเรือกว่า 80% ได้มีอาการป่วยหนักจากผลของรังสีแล้ว กัปตันจึงได้ ออกคำสั่งให้กับ H-IIIA Androids (เป็นAndroid ที่มีหน้าตาภายนอกแบบมนุษย์และสามารถเรียนรู้ความรู้สึกได้ ชื่อว่า Caren) ในการจัดงานศพให้กับผู้เสียชีวิต
วันเสาร์ที่ 16 กันยายน: ลูกเรือของยาน Ozymandias ที่เหลือได้รับคำสั่งให้เก็บตัวอย่าง DNA และเซลล์ไว้ เพื่อให้ MTHR (มาเธอร์ – ระบบคอมพิวเตอร์กลางของยาน) นำไปใช้สร้างสายพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ในการตั้งอาณานิคม α2 เพื่อสานต่อภารกิจที่ได้รับมาให้สำเร็จ
วันอังคารที่ 20 กันยายน: ลูกเรือที่เป็นมนุษย์ทั้งหมดได้เสียชีวิตลง
หลังการเสียชีวิตของลูกเรือ MTHR ได้เริ่มดำเนินการตามคำสั่งสุดท้ายของกัปตัน ในการพยายามนำ DNA ของเหล่าลูกเรือมาเพาะเลี้ยงตัวอ่อนขึ้นมาใหม่(ร่างโคลน) แต่เนื่องจากภายในตัวยานยังเต็มไปด้วยรังสี ตัวอ่อนพวกนั้นจึงล้มเหลวในการเพาะเลี้ยงอย่างสิ้นเชิง
MTHR ได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการนำ DNA ของสัตว์สายพันธุ์ต่างๆในฐานข้อมูลที่มีมารวมเข้ากับ DNA ของลูกเรือเพื่อให้ตัวอ่อนสามารถต้านทานรังสีได้ ซึ่งในที่สุด MTHR ก็ได้ค้นพบว่า DNA ของไดโนเสาร์นั้นมีความต้านทานสูงมากที่สุด จึงได้เริ่มการทดลองการเพาะเลี้ยงต่อไป
ระยะที่1 ได้ข้อสรุปการสร้างสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างมนุษย์และไดโนเสาร์ได้สำเร็จ แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังเสี่ยงต่อผลกระทบจากรังสี จึงต้องทำการทดลองปรับปรุงพวกมันต่อไป
ระยะที่2 โครงการทดลองการสร้างร่างโคลนของไดโนเสาร์ เพื่อตรวจสอบผลการต้านทานรังสีและการเจริญเติบโตหลังผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม พร้อมกับปล่อยพวกมันไว้ในพื้นที่ Deck Sector (ส่วนที่อยู่อาศัยของลูกเรือบนยาน)เพื่อสังเกตพฤติกรรมตามธรรมชาติ
ระยะที่3 ทำการรวมโครงการในระยะที่1 และ2 เข้าด้วยกัน โดยนำDNA ของไดโนเสาร์ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุ์กรรม ไปผสานเข้ากับ DNA ของลูกเรือทำให้ในที่สุด MTHR ก็สร้างสายพันธุ์ใหม่ที่ทนทานต่อรังสีได้โดยสมบูรณ์ พร้อมกับปล่อยให้พวกมันส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในส่วนอื่นๆที่เหลือของตัวยานได้(ปล่อยอิสระในยานเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลพฤติกรรม)
และเมื่อยาน Ozymandias เดินทางมาถึงดาวเคราะห์ a2 ลูกผสมเหล่านี้ได้ถูกส่งลงไปยังพื้นผิวของดาวเพื่อตรวจสอบความสามารถในการอยู่รอดของพวกมัน ซึ่งการทดลองระยะที่3 ก็สิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว เพราะพวกมันไม่อาจเจริญเติบโตได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมบนดาวนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการมีชีวิต
แต่เพื่อให้ภารกิจการตั้งอาณานิคมใหม่สำเร็จลุล่วงตามคำสั่งที่ได้รับมาจากกัปตัน ทำให้ MTHR เริ่มดำเนินการทดลองระยะที่ 4 ในการตามหาดาวเคราะห์ดวงอื่นที่สามารถเอื้ออำนวยต่อการมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งผลของการวิเคราะห์ MTHR ก็ได้พบว่ามีเพียงดาวดวงเดียวที่เป็นเช่นนั้น นั่นก็คือ โลก
MTHR จึงหันหัวเรือ Ozymandias เดินทางกลับสู่โลกด้วยเป้าหมายที่จะสร้างอาณานิคมของสายพันธุ์ลูกผสมขึ้นที่นั่น และเพื่อให้แน่ใจว่าการทดลองจะประสบความสำเร็จ MTHR จึงได้ทำการผลิต H-IIIA Androids เพิ่มขึ้น(แต่เดิมที่มีตัวเดียว) สำหรับทำหน้าที่ดูแลเหล่าสายพันธุ์ใหม่ให้มีโอกาสอยู่รอดบนดาวโลกได้มากขึ้น
เนื้อเรื่องภายในเกม
ในปี 2548 เป็นเวลา 300ปี หลังการติดต่อสุดท้ายจากยาน Ozymandias ในระหว่างเดินทางไปยังดาว a2 ที่อยู่ห่างไกล ยานที่สาปสูญดังกล่าวก็ได้ปรากฏตัวอีกครั้งบริเวณวงโคจรเหนือดาวพฤหัสบดี
ทำให้ โลกส่งยานสำรวจอย่าง Skyfert ไปตรวจสอบสถานะปัจจุบันของยาน Ozymandias ซึ่งหลังความพยายามอยู่นานจนเห็นแล้วว่าพวกเขาไม่สามารถทำการติดต่อกับลูกเรือบนยานหรือแม้แต่ MTHR ประจำยานได้เลย ทาง Skyfert จึงส่งกระสวยที่บรรทุกเจ้าหน้าที่หน่วย S.O.A.R. (Special Operations And Reconnaissance) ออกไปตรวจสอบในพื้นที่จริงแทน
แต่ระหว่างนั้นจู่ๆยาน Ozymandias ที่ทุกคนคาดว่าเป็นยานร้าง ก็ได้ทำการเปิดระบบปืนทั้งหมดของยานพร้อมกับโจมตียาน Skyfert จนระเบิดไปต่อหน้าต่อตา เจ้าหน้าที่หน่วยSOARบนกระสวย ก่อนที่กระบอกปืนจะหันมาโจมตีใส่พวกเขาจน ทำให้มีผู้รอดชีวิตมาถึงตัวยานได้แค่เพียง 4คนเท่านั้น (Patrick, Sonya, Mccoy และ Jacob)
เมื่อเข้ามาในตัวยานพวกเขาก็ได้พบกับไดโนเสาร์กลายพันธุ์อย่าง Australis ที่เข้ามาสังหาร Mccoy พร้อมกับฝูงของ Rigel ที่ปรากฏตามมาสังหารมันอีกต่อนึง จนทำให้ Patrick กับ Sonya รอดมาได้อย่างหวุดหวิด(โดยพวกเขาจะได้เจอกับ Jacob ในเวลาต่อมา)
ในระหว่างรอความช่วยเหลือจากทางโลก สมาชิกที่เหลือก็ได้สืบหาความจริงพร้อมกับเอาชีวิตรอดจากเหล่าไดโนเสาร์กลายพันธุ์ประเภทต่างๆ จนได้รู้ถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าของลูกเรือบนยาน Ozymandias จากบันทึกโฮโลแกรมของกัปตันแต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่มีไดโนเสาร์กลายพันธุ์อยู่บนยาน
(และเผื่อใครสงสัย ในส่วนของเหตุการณ์ในเกมที่เราได้เล่นนี้ รังสีในยานไม่มีเหลือแล้วนะครับ)
และในขณะที่ทำการสำรวจตัวยานเพื่อหาคำตอบกันต่อไป พวกเขาก็ได้พบกับเด็กสาวที่ชื่อ Caren ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวบนยาน
และในเวลาต่อมาพวกเขาก็ได้รู้ว่าตัวของ MTHR ที่ติดต่อไม่ได้เลย(ทั้งที่ยังทำงานได้ปกติ) เป็นตัวการที่พยายามจะสังหารพวกเขาด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้พวกเขาตัดสินใจไปปิดการทำงานของ MTHR ที่MTHR Sector ทันที
(คือในยุคสมัยตามเนื้อเรื่องของเกม ระบบอย่าง MTHR มีความน่าเชื่อถือสูงมากสำหรับมนุษย์ จึงไม่มีใครคิดว่าMTHR จะมีความคิดสังหารพวกเขาด้วยเจตนาของตัวเองแบบนั้น)
เมื่อมาถึงแกนกลางของ MTHR พวกเขาก็ได้รู้ความจริงถึงเป้าหมายทั้งหมด ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงเหล่า Androids ในหลอดทดลองที่ถูกสร้างขึ้นมาคอยดูแลพวกตัวทดลองเมื่อไปถึงโลก ซึ่งในเวลานั้นตัวทดลองสายพันธุ์ Miaplacidus ก็ได้ตามพวกเขามา จนเกิดการต่อสู้ที่ทำให้แกนกลางของ MTHR เกิดความเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซม และแม้ในช่วงสุดท้ายก่อนระบบจะดับลง MTHR ก็ได้เอ่ยคำพูดสุดท้าย ที่ยังมีเพียงความต้องการที่จะทำภารกิจให้ลุล่วงเท่านั้น
หลังการปิดตัวลงของ MTHR ตัวของ Patrick และ Sonya ได้มุ่งหน้าไปยังกระสวยหลบหนี ซึ่งพวกเขาก็ได้พบเข้ากับ ตัวทดลองที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง Cebalrai และด้วยการเสียสละของ Caren พวกเขาจึงหลบหนีออกมาจากมันได้
แต่ในขณะที่กระสวยกำลังมุ่งหน้าสู่โลก Cebalrai ที่ติดยานมาด้วยก็ทำให้ Patrick ต้องออกไปจัดการกับมันเป็นครั้งสุดท้าย จนสามารถส่งมันลอยออกไปในอวกาศอย่างไร้จุดหมายได้สำเร็จ และเป็นอันจบเรื่องราวของซีรีส์ Dino Crisis ลงที่ตรงนี้
(Dino Crisis 3 All Cutscenes + GameMovie )
Gameplay
ภายในเกมภาคที่3 นี้จะยังคงไว้ซึ่งแนวทางการเล่นแบบเน้นการต่อสู้ดุเดือดอย่างเกมภาคที่2 แต่จะมีการปรับเปลี่ยนให้มีความเป็นแนว Sci-fi มากยิ่งขึ้น โดยสิ่งแรกที่เห็นอย่างชัดเจนเลยก็คือ ระบบ Jetpack ที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวหลบการโจมตีของศัตรู รวมไปถึงการเดินทางผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆภายในเกม
โดยจะมีหลอดสีฟ้าใต้หลอดเลือดที่มุมขวาบนของหน้าจอ เป็นการแสดงพลังงานเชื้อเพลิงที่กำลังใช้อยู่ ซึ่งเมื่อไม่ได้ใช้งานJetpack หลอดเชื้อเพลิงนี้ก็จะเพิ่มกลับมาเต็มอย่างรวดเร็ว (เป็นเหมือนระบบStamina นั่นเอง)
ระบบอาวุธปืนเองก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ คือตัวละครแต่ละคนจะถือปืนประจำตัวแบบตายตัว ไม่สามารถเปลี่ยนปืนได้ โดยจะมีกระสุนพื้นฐานที่สามารถใช้ได้อย่าง “ไม่จำกัด” และถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนปืนได้ แต่ก็ทดแทนมาด้วยระบบการเปลี่ยนกระสุนชนิดพิเศษอื่นๆ ซึ่งก็จะมีจำนวนกำจัดและสามารถหา หรือซื้อมาเพิ่มได้ โดยปืนและกระสุนจะมีด้วยกันดังนี้
Heavy Vulcan – ปืนประจำตัวของ Patrick ซึ่งจะยิงกระสุนธรรมดาออกมาเหมือนกับปืนกล(เส้นกระสุนสีเหลือง)และยังสามารถชาร์จยิงเป็นกระสุนขนาดใหญ่ 1นัดที่รุนแรงได้อีกด้วย
Freeze Laser – ปืนประจำตัวของ Sonya ซึ่งมีลักษณะคล้ายปืนพกโดยจะยิงคล้ายกับปืนของ Patrick แต่เส้นกระสุนที่ยิงออกมาจะมีสีฟ้าแทน
กระสุนปืนพิเศษ
Wide-shot – กระสุนสำหรับยิงระยะใกล้เป็นการยิงกระสุนพลังงานกระจายออกไปด้านหน้า ซึ่งสามารถชาร์จให้มีพลังทำลายและพื้นที่ที่กว้างขึ้นได้
Laser – กระสุนลำแสงเลเซอร์สำหรับใช้ในการโจมตีระยะไกล สามารถชาร์จเพื่อเพิ่มพลังทำลายให้มากขึ้นได้
นอกจากอาวุธหลักแล้ว ตัวเกมยังได้เพิ่มอาวุธประเภทรองมาให้ โดยจะถูกเรียกว่า WASPs ซึ่งเป็นโดรนที่ผู้เล่นสามารถปล่อยออกไปช่วยโจมตีสนับสนุนใส่ศัตรูได้ โดยจะมีความสามารถแตกต่างกันตามประเภท ดังนี้
Tempest– โดรนสีฟ้าติดตั้งปืน 4กระบอกที่จะบินออกไปช่วยโจมตีสนับสนุนศัตรูจากมุมสูง
Juggernaut – โดรนสีเหลืองที่ถูกออกแบบมาให้พุ่งเข้าโจมตีใส่ร่างของศัตรูครั้งแล้วครั้งเล่า (จนกว่าตัวของโดรนจะพัง)
Inferno – โดรนสีแดงที่ถูกออกแบบมาให้บินเข้าไประเบิดพลีชีพใส่เป้าหมายอย่างรุนแรง (หากไม่มีศัตรูเหลือแล้ว มันจะทำลายตัวเอง)
Final-WASPs – โดรนสีเงินขนาดใหญ่ที่ Sonya ส่งมาสนับสนุนการโจมตีครั้งสุดท้ายใส่ Cebalrai ในตอนจบของเกม
นอกจากอาวุธแล้ว ไอเทมที่เหลือในเกม จะมีเพียงแค่ Keyitem ตามเควส และ ไอเทมฟื้นฟู 4ชนิด โดยจะเป็น กล่องพยาบาล 3ขนาด และไอเทมที่ชื่อว่า Limit Breaker ที่จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถใช้พลังงานเชื้อเพลิงของ Jetpack ได้แบบไม่มีจำกัดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ทั้งนี้ระบบเงินในเกม จะยังใช้ระบบแบบเดียวกับในเกมภาคที่2 ที่จะได้แต้มมาจากการโจมตีใส่ศัตรูและนำไปซื้อไอเทมจากตู้ขายของ แต่จะแตกต่างตรงที่สามารถเก็บได้จำกัด ซึ่งจะดูได้จากแถบสีเหลืองมุมขวาบนของหน้าจอ (เพื่อเป็นการบังคับให้ผู้เล่นต้องกลับไปซื้อของบ่อยๆแค่นั้น…)
และระบบที่เป็นตำนานของเกมภาคนี้ อย่าง “มุมกล้อง” ก็ริเริ่มมาจากความคิดของผู้พัฒนาที่ต้องการใช้ประโยชน์จากความสามารถของเครื่อง Xbox อย่างเต็มที่ โดยเปลี่ยนให้ฉากเป็นรูปแบบของ 3D แทนที่จะเป็น ฉาก 2D แบบเดิม(ภาคเก่าฉากหลังจะเป็นภาพนิ่งแปะเอาไว้น่ะครับ) แต่แทนที่จะทำให้กล้องเคลื่อนที่ตามตัวละครทั้งหมด ผู้พัฒนาเลือกที่จะทำให้มุมกล้องในหลายๆพื้นที่ถูกล็อคไว้ในตำแหน่งต่างๆเหมือนเกมภาคเก่าๆแทน…
(คือมุมกล้องส่วนใหญ่ในเกมจะติดตามผู้เล่น แต่จะมีในหลายๆจุดที่มุมกล้องจะเป็นแบบล็อคตายเอาไว้)
ซึ่งพอมันรวมเข้ากับความเร็วของเกมและระบบ Jetpack ที่พุ่งตัวไปมาได้(ไหนจะฉากที่สูงต่ำ ซับซ้อนของเกมที่ปีนไปปีนมาได้อีก) เลยทำให้มุมกล้องของเกมภาคนี้ เป็นอุปสรรคกับผู้เล่นมากกว่าไดโนเสาร์ซะอีก…..
ส่วนระบบพื้นฐานอื่นๆในเกม อย่างระบบเลือดของเกมภาคนี้ ก็ตัดอาการเลือดไหลออกไป อีกทั้งยังไม่มีหารแจ้งเตือนอะไรตอนเลือดใกล้จะหมด ทำให้บางครั้งที่ผู้เล่นไม่ทันได้สังเกตก็จะลงไปฟุบเอาเสียดื้อๆ สร้างความหงุดหงิดกันไม่ใช่น้อย (ในภาค2 เวลาเลือดใกล้หมดหลอดเลือดจะมีคำว่า DANGER ขึ้นบอก)
แถมการเปลี่ยนฉาก จากการเปิดประตู กลายมาเป็นภาพที่ค่อยๆเบลอชวนมึนหัว ก่อนจะตัดเข้าหน้าโหลดฉากแทน….
นอกจากนี้ก็ยังใส่ระบบให้ปรับเป็นมุมกล้องบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการเล็งยิงได้อีกด้วย
Characters
Patrick Tyler
ตัวละครหลักที่ผู้เล่นจะได้ควบคุมในเกมภาคนี้ โดยเขาเป็นหนึ่งในทหารหน่วย SOAR ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์การสำรวจยาน Ozymandiasซึ่งตัวเขานั้นเป็นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดด้วยความเร็วสูงจากการใช้บูสเตอร์แพ็ค
Sonya Hart
ตัวละครที่ผู้เล่นจะได้ควบคุมในบางฉากของเกม โดยเธอเป็นทหารหน่วย SOAR ที่มีความสุขุมเยือกเย็นและจดจ่ออยู่กับภารกิจอยู่เสมอ เธอนั้นมักจะคอยสนับสนุนทีมซึ่งก็มักจะเน้นไปที่ด้านของการบำรุงรักษาอุปกรณ์และการรวบรวมข้อมูลเป็นหลัก
Jacob Ranshaw
หัวหน้าหน่วยในทีมปฏิบัติการของ SOAR ตัวของเขานั้นมีนิสัยที่ตรงไปตรงมา และเป็นคนที่มีความกล้าหาญ และกล้าตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งตัวเขาก็เป็นคนที่ห่วงความปลอดภัยคนในทีมมาก ถึงขนาดยอมเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยลูกทีมให้หนีรอดไปได้
McCoy
หนึ่งในสมาชิกหน่วย SOAR ที่รอดชีวิตมาถึงยาน Ozymandiasr แต่ก็ถูก Australis ฆ่าตายหลังจากมาถึงยานได้ไม่นาน
Caren Velasquez
หุ่นAndroid รุ่นต้นแบบ ของซีรีส์ H-IIIA ที่ออกแบบโดย Dr. Velasquez โดยเธอจะมีบุคลิกภาพเป็นเด็กสาววัยรุ่น ซึ่งถูกทำให้มีความเชื่อว่าเธอเป็นมนุษย์ และเป็นลูกสาวแท้ๆของ Dr.Velasquez ด้วย (ซึ่งเธอจะได้รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์ในเหตุการณ์ภายในเกม)
กัปตันยาน Ozymandias ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยเราจะได้เห็นหน้าตาของเธอผ่านบันทึกภาพโฮโลแกรม และการที่ MTHR นำภาพโฮโลแกรมกับเสียงของเธอมาใช้สื่อสารกับพวกตัวเอกในเกม
ตัวละครที่ไม่ปรากฏภาพ แต่มีความสำคัญในเนื้อเรื่องในเกมพอสมควร
Jack Morton
วิศวกรในปี 2048 ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานจาก Third Energy จนได้ถูกนำมาใช้กันอย่างยาวนาน ซึ่งก็รวมไปถึงเครื่องยนตร์หลักของยาน Ozymandias อีกทั้งเขายังเป็นคนริเริ่มการออกแบบ หุ่น Android H-IIIA ก่อนที่จะถูกนำไปศึกษาและพัฒนาต่อโดย Dr.Velasquez ( “คาดว่า” เขาเป็นญาติกับ พระเอกในเกมภาคที่2 เพราะนามสกุลเหมือนกัน)
Miguel Angel Velasquez de Silva
ผู้นำด้านเทคโนโลยีผิวสังเคราะห์และหุ่นยนต์จัดการคุณภาพน้ำ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการเป็นผู้ร่วมพัฒนา AI ที่ซับซ้อน จนเป็นต้นแบบที่ชื่อว่า Caren ซึ่ง เป็นAndroid ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นลูกเรือลำดับที่2 ของยาน Ozymandias โดยตัวของ Dr.Velasquez ก็ยังคอยดัดแปลงต้นแบบอย่าง Caren อยู่เรื่อยๆ โดยหวังว่าAndroid ตัวนี้จะสามารถเลียนแบบอารมณ์ของมนุษย์ให้ได้มากที่สุด
ศัตรูภายในเกม
นับว่าศัตรูในเกมภาคนี้ เป็นอีก1 จุดแข็งที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะถูกออกแบบมาให้มีเอกลักษณ์ทุกตัว และนับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่พวกเราจะได้เห็นไดโนเสาร์ที่มีรูปร่างแปลกพิสดารแบบนี้ แต่ก็น่าเสียดาย เพราะศัตรูทั้งเกมนั้น มีแค่8ชนิดเท่านั้น(รวมบอสไปด้วย) โดยถ้าตัดบอสออกก็จะเหลือศัตรูให้เจอตลอดทั้งเกมแค่ 3แบบเท่านั้น จึงทำให้ตัวเกมไม่มีความหลากหลายเท่าภาคก่อนๆ
Creatures
Rigel & Rigel Domain
สิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมจากDNA ของGiganotosaurus ที่ถูกดัดแปลงไปอย่างมาก จนทำให้พวกมันมีวงจรชีวิตที่แปลกประหลาด โดยพวกมันมีลักษณะภายนอกคล้ายงูหรือปลิงสีขาวผิวหนังขาววิ่นเผยกล้ามเนื้อด้านใน มีแขนที่ดูพิการขนาดเล็ก2ข้างยื่นออกมา แต่ถึงภายนอกจะดูไม่มีพิษภัยเท่าไหร่นักก็ แต่นิสัยของพวกมันกลับมีความดุร้ายจนเรียกได้ว่าเป็นภัยอันตราย อีกทั้งมันยังสามารถที่จะกินเนื้อในปริมาณมากได้ในเวลาสั้นๆ และแม้ว่ามันจะไม่มีสัญชาตญาณในการล่าเหยื่อเป็นกลุ่ม แต่พวกมันก็มักจะรุมโจมตีเหยื่อเพื่อแย่งอาหารกันอยู่เป็นประจำ
นอกจากนี้ยังมีการพบฝูงRigel ที่รวมตัวกันอยู่รอบสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดจนมีลักษณะคล้ายเสาที่ถูกยึดติดอยู่กับพื้นและเพดาน ซึ่งคอยทำหน้าที่เสมือนเป็นรังของพวกมันอีกด้วย
Algol
สิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมที่มีDNA ผสมระหว่างมนุษย์กับแรปเตอร์ ศัตรูตัวฉกาจประจำซีรีส์ Dino Crisis ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตุประสงค์ในการศึกษาพฤติกรรมการอยู่กันเป็นกลุ่ม ซึ่งก็ประสบความสำเร็จจนพวกมันสามารถยึดครองพื้นส่วนใหญ่ของยานเอาไว้ได้
ซึ่งนอกจากลักษณะที่คล้ายแรปเตอร์ปกติแล้ว ขาหลังของพวกมันยังถูกพัฒนาให้มีพละกำลังมากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงถูกดัดแปลงอวัยวะบนศรีษะจนดูเหมือนกับฉลามหัวค้อน ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยให้พวกมันสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาโจมตีใส่เหยื่อหรือศัตรูของพวกมัน
นอกจากนี้ยังมีการพบเห็นสายพันธุ์ย่อยบางส่วนที่มีความสามารถพรางตัวอยู่บนยานอีกด้วย
สิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมอีกชนิดที่มีDNAของแรปเตอร์ แต่พวกมันถูกสร้างด้วยกระบวนการตรงกันข้าม คือการใช้DNA ของไดโนเสาร์เป็นพื้นและนำDNA ของมนุษย์หรือลิงเข้าไปผสมแทน(แบบปกติคือใช้ DNA ของมนุษย์เป็นพื้นแล้วเอาDNA ไดโนเสาร์มาผสม) เพื่อทดลองผลลัพธ์ที่จะได้แบบใหม่ขึ้นมา จนกลายเป็นไดโนเสาร์ที่มีรูปร่างเหมือนกอริลล่า
พวกมันมีผิวที่ทนทาน เฉลียวฉลาดและยังสามารถใช้มือได้เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์จำพวกลิง นอกจากนี้DNA ของพวกมัน ยังทำให้พวกมันมีทักษะการล่ากันเป็นกลุ่มแบบเดียวกับพวกลิงมากกว่ารูปแบบการล่าเป็นกลุ่มของพวกแรปเตอร์
Australis
สิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมอีกชนิดที่มีDNAของ T-rex ที่ถูกดัดแปลงให้มีความสามารถในการอยู่รอดในสภาวะสุญญากาศและผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นอาวุธได้ แต่เพราะความล้มเหลวในการทดลอง ทำให้ผิวหนังของพวกมันมีความบกพร่องจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อโผล่ออกมาตามตัว และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความสามารถในการอยู่รอดในสภาวะสุญญากาศจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความสามารถในการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่สูงมากแทน
นอกจากนี้อวัยวะที่ผลิตไฟฟ้าในตัวของพวกมันก็มีความไม่สมบูรณ์จึงทำให้เวลาที่พวกมันตั้งใจจะโจมตีเหยื่อด้วยกระแสไฟฟ้าจะเป็นการปล่อยออกมารอบๆตัวแทนที่พุ่งเป้าไปที่ศัตรูโดยตรง และถึงจะเป็นตัวทดลองที่มีความผิดพลาดมากมาย แต่MTHR ก็ยังปล่อยให้พวกมันบางตัวมีชีวิตอยู่บนยานได้อย่างอิสระต่อไป
Regulus
สิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมอีกชนิดที่มีDNAของ Ankylosaurus ที่ได้รับการดัดแปลงผิวด้านหลังที่คล้ายเปลือกเกราะให้มีความทนทานสูงจนสามารถเบี่ยงทิศทางของกระสุนที่ยิงใส่มันตรงๆ หรือกลายเป็นอาวุธสำหรับบดทำลายทุกอย่างที่ขวางทางในเวลาที่มันม้วนตัวกลิ้งไปด้านหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้สายพันธุ์นี้ถูกค้นพบเพียงตัวเดียวในห้องทดลองที่ MTHR ปล่อยออกมากำจัดเจ้าหน้าที่หน่วย SOAR ซึ่งมันก็สามารถสังหารหัวหน้าหน่วยอย่าง Jacob ได้สำเร็จ ก่อนจะถูกสังหารโดย Patrick จากจุดอ่อนใต้ท้องของมันที่มีความอ่อนนุ่มจนกระสุนสามารถเจาะทะลวงเข้าไปได้
Miaplacidus
สิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมอีกชนิดที่มีDNAของ Spinosaurus สำหรับทดลองการมีชีวิตอยู่ในระบบนิเวศแบบสะเทินน้ำสะเทินบกของสายพันธุ์ใหม่ โดยนอกจากลักษณะดั้งเดิมแบบ Spinosaurus แล้ว พวกมันถูกพัฒนาให้มีครีบและแผงคอ ลักษณะแหลมคมคล้ายหนามที่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะฉีกพื้นเหล็กของยานไปตามแรงว่ายน้ำของมันได้อย่างสบายๆ อีกทั้งยังสามารถพ่นน้ำแรงดันสูงออกมาสำหรับโจมตีเหยื่อในระยะไกลได้อีกด้วย
โดยสายพันธุ์นี้เองก็จะถูกพบเห็นเพียงตัวเดียวที่ปรากฏตัวออกมาทำลายระบบหล่อเย็นของยาน และไล่ตาม Patrick จนไปถูกสังหารลงในห้องของ MTHR
Cebalrai
สุดยอดสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมของ MTHRที่ไม่เพียงแต่เป็นนักล่าที่ก้าวร้าวและทนต่อรังสี แต่มันยังสามารถมีชีวิตอยู่ในสภาวะสุญญากาศได้โดยสมบูรณ์(แม้ผิวหนังจะฉีกขาดจนเห็นกล้ามเนื้อก็ตาม) ซึ่งมันยังเป็นร่างโตเต็มวัยของ Rigel แต่อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขหรือระยะการเติบโตของมันยังเป็นปริศนา แต่สามารถคาดการณ์ได้จากความสามารถในการปรับตัวมีชีวิตรอดที่สูงอย่างผิดธรรมชาติของมันในตอนที่มันรู้ว่า 2หัวไม่อาจเอาชนะศัตรูอย่างPatrick ได้ มันก็ทำการงอกหัวที่3 ออกมาเพิ่มได้ภายในไม่กี่วินาที
นอกจากนี้ Cebalrai นั้นยังมีความสามารถคล้ายกับ Australis แต่สมบูรณ์กว่า อย่างการปล่อยไฟฟ้าใส่ศัตรูได้อย่างแม่นยำ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ได้มีความสามารถในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้มากเท่ากับ Australis
——————————————————————————————-
ในความคิดเห็นของผู้เขียน เกมDino Crisis 3 นั้นมีวัตถุดิบที่ดีหลายอย่างมากๆ ทำให้รู้สึกเสียดายที่ทางผู้พัฒนากลับไม่สามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้เกมภาคนี้เป็นตำนานในทางที่ไม่ดี จนพูดได้เต็มปากว่า…
“เกมนี้ก็มีชะตากรรมเคว้งคว้างเช่นเดียวกับเจ้า Cebalrai ที่ต้องลอยเท้งเต้งอย่างไร้จุดหมายในอวกาศเลย…”
และหากมีข้อมูลใดผิดพลาดหรือขาดหายไป ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
(อัลบั้ม Concept Art ของ Dino Crisis 3)
บทความโดย WolfTales