Call of Duty : Modern Warfare
ประเภท : FPS
ผู้พัฒนา : Activition
เครื่อง : PS3 / PC / Xbox360 / Wii / MacOs
วางจำหน่าย : 7 พฤศจิกายน 2007
———-
Call of Duty : Modern Warfare 2
ประเภท : FPS
ผู้พัฒนา : Activition
เครื่อง : PS3 / PC / Xbox360 / Wii / MacOs
วางจำหน่าย : 10 พฤศจิกายน 2009
———-
Call of Duty : Modern Warfare 3
ประเภท : FPS
ผู้พัฒนา : Activition
เครื่อง : PS3 / PC / Xbox360 / Wii / MacOs
วางจำหน่าย : 8 พฤศจิกายน 20011
นี่คืออีกหนึ่งในสุดยอดตำนานวิดิโอเกมที่มีเนื้อหาเข้มข้น เร้าใจ เพลงประกอบทรงพลัง แอคชั่นตระการตาที่สุด ที่ บ. Activition ได้ทำมา เรื่องราวของโลกที่ยังคงอยู่ในความขัดแย้งอันไร้ที่สิ้นสุด ภัยก่อการร้ายที่ลุกลามดุจเชื้อโรค จากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่ง นี่คือโลกของสงครามสมัยใหม่ … สงครามยุค “Modern Warfare”
——————–
ในปี 2011 สงครามกลางเมืองในรัสเซียได้แบ่งแยกผู้คนออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่ “ฝ่ายรัฐบาล” และ “กลุ่มผู้รักชาติหัวรุนแรง “ นำโดย “อิมราน ซาคาเยฟ” ผู้หวังว่าจะกู้คืนเอกภาพของชาติ โดยทำการหนุนหลังการก่อการร้ายในตะวันออกกลาง
ณ กลางทะเลช่องแคบแบริ่งที่กำลังถูกกระหน่ำด้วยพายุฝนอย่างบ้าคลัง กัปตัน “John Price” (หรือ “กัปตันไพรซ์”) หัวหน้าหน่วยรบพิเศษ SAS หรือ หน่วยรบพิเศษทางอากาศแห่งกองทัพอังกฤษ ได้รับรายงานการขนชิ้นส่วนจรวดนิวเคลียร์จากเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ และนั่นเป็นภารกิจภาคสนามครั้งแรกของ Sgt. “Soap” MacTavish (จ่าสิบเอก “โซฟ”แมคทราวิส) แต่ทว่าเฮลิคอปเตอร์ประสานงานที่ลอยตัวอยู่ได้รายงานว่าจะมีการทิ้งระเบิดทำลายเรืองลำนี้ทิ้งโดยเครื่องบิน MiGs ของรัสเซีย โซฟ และ กัปตันไพรซ์จึงคว้ามาได้แค่เฉพาะเครื่องยิงจรวดนิวเคลียร์ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เบาะแสเพื่อสาวไส้หาที่มาต่อไป…
ในขณะเดียวกันกลุ่มแบ่งแยกดินแดนของนายพล “Khaled Al-Asad” (“คาเล็ด อัล อาซาด” หรือ “คาอิด อัลอาซัด”) ก็ได้ทำการรัฐประหารขึ้น โดยการโค่นอำนาจผู้นำคนเก่า “Yasir Al-Fulani” (ยัดเซอร์ อัล ฟูลานี่) ประธานาธิบดี ของประเทศหนึ่งในซีกโลกตะวันออก
ภาพของการประหารชีวิตด้วยการจ่อเข้าขมับของประธานาธิบดีก็ได้ออนแอร์ไปยังสื่อมวลชนทั่วโลก ทำให้สหรัฐอเมริกา และหน่วย SAS ของประเทศอังกฤษ ได้ทำการแทรกแซงทันที…
ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้ทางสภาคองเกรสได้อนุมัติการส่งหน่วย “นาวิกโยธินของสหรัฐ” หรือ USMC=U.S. Marine Corps ไปเข้าทำการแทรกแซงแบบไม่แทงกั๊ก เพื่อลากคอ “คาอิด อัลอาซัด”มาสำเร็จโทษให้ได้ ในขณะที่ทีมพันธมิตรอย่างหน่วย SAS ก็ได้ตามหาสายลับชาวรัสเซียที่ชื่อ “Nicolai” (นิโคไล) เพื่อสืบสาวหาที่มาของเครื่องยิงจรวดนิวเคลียร์ที่ได้มาจากเรือบรรทุก สินค้าในตอนต้นเรื่อง
และหนึ่งในแนวหน้าของการรรบ “Sgt. Paul Jackson” (จ่าสิบเอก พอล แจ๊คสัน)ได้ทำการตรวจค้น ลงพื้นที่ตามคำสั่ง และที่นี่ก็มีสัญญาณการออกอากาศสดของ อัล อาซาด แต่ทว่าเมื่อพวกเขาไปถึงก็พบว่า เป็นแค่การอัดวิดิโอและฉายวนเท่านั้น
ตัดกลับไปที่หน่วย SAS กัปตันไพรซ์ช่วยนิโคไลออกมาแล้ว แต่ทว่าเฮลิคอปเตอร์ที่จะพาพวกเขากลับบ้าน ก็ถูกสอยจนร่วง4สหายเดนตาย กัปตันไพรซ์ /แก๊ซ/ นิโคไล และ โซฟ จำต้องฝ่าวงล้อม แต่ด้วยการช่วยเหลือของ “เครื่องบิน AC 130″ ที่ขนอาวุธมาเต็มพิกัด ทั้ง ปืนกลกัทลิ่ง 25mm GAU-12/U , ปืนใหญ่ขนาด 40mm Bofors L/60 Cannon และ ปืนใหญ่ทำลายล้าง 105mm M102 Howitzer ก็เข้ามาช่วยเหลือกัปตันไพรซ์และชาวคณะกลับบ้านอย่างปลอดภัย
ที่ตะวันออกกลาง วันที่ 3 จ่าสิบเอก พอล แจ๊คสัน และกองพลนาวิกโยธิน ได้ทำการเข้ายึดเมืองหลวง และทำการทำลายรังผู้ก่อการร้ายลงได้มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกเขา หน่วยนาวิกโยธินยังคงคว้าน้ำเหลวจากการตามล่าตัว อัล อาซาด
และทันทีที่พวกเขาตั้งใจจะถอนตัวกลับไปยังศูนย์บัญชาการตามคำสั่ง มีบางอย่างได้พุ่งเข้ามาที่เมืองหลวง…ทุกอย่างเหลือเพียงเถ้าธุลี เฮือกสุดท้ายของจ่าสิบเอก พอล แจ๊คสัน ได้มองเห็นสิ่งที่เรียกว่า “ระเบิดนิวเคลียร์”แบบชัดๆ…และก็สิ้นใจลง
ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกสื่อมวลชนรายงานแทบทุกสำนัก ความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ทำให้กัปตันไพรซ์ และชาวคณะSAS ต้องเร่งมือในการค้นหาตัวอัล อาซาด ที่มีข่าวว่ากำลังกบดานที่กระท่อมน้อยปลายนาในอาเซอร์ไบจัน พวกเขาทำสำเร็จ อัล อาซาดอยู่ในมือพวกเขาแล้ว พวกเขาซักถามถึงเรื่องระเบิดนิวเคลียร์ในตะวันออกกลางว่า ใครสั่งยิง แล้วได้มายังไง
แต่ด้วยฝีมือการสอบสวนแบบหมัดต่อหมัดของกัปตันไพรซ์ ทำให้รู้ว่า ผู้ร้ายตัวจริง คือ “อิมราน ซาคาเยฟ” ชายที่เคยถูกกัปตันไพรซ์ลอบสังหารเมื่อ15ปีก่อน…ซาคาเยฟคือวายร้ายที่คิดแต่จะขายอาวุธสงครามในอดีต…เขายังไม่ตาย และกลายเป็นพ่อค้าอาวุธที่อยู่เบื้องหลังผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลาง…
ในตอนนี้ หน่วย SAS อังกฤษ ได้ทำการรวมทีมกับนาวิกโยธินสหรัฐ เพื่อเป้าหมายเดียว ลากคอซาคาเยฟออกมา…กัปตันไพรซ์ได้ดำเนินแผนที่ตกลงกับพวกนาวิกฯว่า จะล่อให้ซาคาเยฟออกมาด้วยการลักพาตัว “วิคเตอร์” ลูกชายของซาคาเยฟ แต่แผนพังเพราะหลังจากที่ฝ่าฝูงโจรก่อการร้ายได้ วิคเตอร์ ก็ชิงยิงตัวตาย เพื่อไม่ให้ความลับของพ่อรั่วไหล…แต่กัปตันไพรซ์มีแผนสองที่เข้าใจง่ายกว่า…นั่นก็คือ “การปะทะกับซาคาเยฟตรงๆ”
พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยัง “เทือกเขาอัลไต” ในรัสเซีย สถานที่เก็บอาวุธนิวเคลียร์ของซาคาเยฟ แต่ “จ่ากริ๊กส์” ของนาวิกฯสหรัฐได้พลาดท่า ถูกจับได้ตอนโดดร่ม ทำให้พวกของกัปตันไพรซ์ตามไปช่วยเหลือก่อน แต่ระหว่างนั้น หัวรบนิวเคลียร์สองลูกก็ได้ลั่นไกออกไปแล้ว โดยเป้าหมายคือ “สหรัฐอเมริกา” ซึ่งถ้าระเบิดลงตามจุดที่กำหนด จะทำให้มีคนตายมากถึง 41 ล้านคน และด้วยความร่วมมือของสองหน่วย ทำให้สั่งหยุดการทำงานของจรวดได้สำเร็จ แต่ซาคาเยฟหนีไปได้ การไล่ล่าครั้งสุดท้ายจึงเริ่มขึ้น
และจบลงที่หน่วย SAS ต้องรับมือกับศัตรูที่แห่เข้ามา จ่ากริ๊กส์ ถูกยิงเสียชีวิตคาที่ และ จ่าแก๊ซเองก็ถูกซาคาเยฟยิงทิ้งในระยะเผาขนเช่นกัน แต่กัปตันไพรซ์ได้ใช้พลังเฮือกสุดท้าย ส่งปืนให้โซฟ จัดการกับซาคาเยฟลงได้สำเร็จ ปิดฉากการไล่ล่าเบื้องหลังผู้ก่อการร้ายลงได้สำเร็จ พร้อมๆกับการสุญเสียเพื่อนร่วมรบมากมายหลายชีวิต…
——
Call of Duty : Modern Warfare 2
หลังจากจัดการกับซาคาเยฟ…เวลาก็ผ่านไปแล้ว 5 ปี แต่แทนที่สงครามจะสงบลง กลับกลายเป็นการกระพือโหมไฟสงครามครั้งใหม่ เมื่อซาคาเยฟที่ตายไป ถูกยกย่องให้เป็นผู้รักชาติ เป็นมหาวีรบุรุษที่ให้กำเนิด “New Russia” กุล่มผู้รักชาติที่ดำเนินงานสานต่ออุดมการณ์ของซาคาเยฟผู้ล่วงลับ นำโดย “Vladimir Makarov ” (วลาดิเมียร์ มาคารอฟ) ที่กำลังวางแผนที่จะปะทุไฟสงครามก่อการร้ายครั้งใหม่ที่ทำให้โลกตะวันตกต้องสะเทือน…
“PFC.Joseph Allen” (พลทหารโจเซฟ อัลเลน) ทหารเกณฑ์หน้าใหม่จาก กองพันที่หนึ่งสังกัด Ranger ที่ 75 (1st Battalion, 75th Ranger Regiment) ได้ทำการรบที่อัฟกานิสถาน ด้วยไหวพริบ และความสามารถ จึงทำให้ถูกใจ “General Shephed” (นายพล เชพเพิร์ด) และลากเขาให้มาทำงานแทรกซึมเข้าไปยังกลุ่มของพวกมาคารอฟ
ในเวลาเดียวกันนี้ ทาง Sgt. “Soap” MacTavish หรือจ่าโซฟ ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้กอง และเป็นหัวหน้าของหน่วยรบ “Taskforce 141″ ได้ลอบเข้ามายังฐานทัพของพวกรัสเซีย พร้อมๆกับ “Sgt. Gary ‘Roach’ Sanderson” (จ่า แกรี่ “โรช” แอนเดอร์สัน) เพื่อที่จะไปกู้เอา ACS module จากดาวเทียมที่ตกกลับคืนมา
อีกซีกโลกหนึ่ง อัลเลนเริ่มปฏิบัติการแทรกซึมเข้าไปอยู่ในกลุ่มของมาคารอฟ และเริ่มภารกิจ “สังหารหมู่ชาวรัสเซียในสนามบิน” (ภารกิจ No Russian เป็นภารกิจที่ถูกพูดถึงมากในวันที่เกมวางขาย ในแง่ของจริยธรรมในวงการเกม จนก่อกระแสดราม่าไปทั่วโลก บางประเทศถึงกับตัดฉากนี้ทิ้งออกไปเลย) เพื่อป้ายสีให้กับฝ่ายอเมริกว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หลังจากที่ทำการสังหารหมู่คนในสนามบินแล้ว มา
คารอฟกลับจัดการกับอัลเลน โดยที่รู้มาตลอดด้วยว่า อัลเลนเป็นสายให้กับพวกอเมริกา แผนขั้นต่อไปก็คือการปั่นหัวให้รัฐบาลรัสเซียส่งกองกำลังไปเอาคืนพวกอเมริกัน
และแผนของมาคารอฟก็สำเร็จจริงๆ เมื่อรัฐบาลรัสเซียที่โกรธแค้นอเมริกาจนถึงขั้นส่งกองทัพรัสเซียเข้าบุกอเมริกา สร้างความวอดวายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า สถานที่สำคัญถูกทำลายย่อยยับ ซึ่งเรื่องราวในตอนนี้จะเล่าเรื่องผ่านทาง “จ่าสิบเอก โฟเล่ย์” กองพันที่หนึ่งแห่งหน่วย Ranger 75 ทำภารกิจป้องกันบ้านเกิดทั้งรัฐเวอร์จิเนีย และ กรุงวอชิงตัน ดีซี ที่ทำการทำเนียบขาวที่ถูกถล่ม
จนไม่เหลือเค้าเดิม…
ในอีกซีกโลกหนึ่ง ช่วงเวลาที่อเมริกาโดนถล่มยับ กลุ่มของโซฟ และ Task Force 141 ได้เริ่มแผนการไล่ล่ามาคารอฟอีกครั้งโดยได้เริ่มตามหาคนที่จะเป็นเบาะแสในการล่าตัวมาคารอฟที่บราซิล และพวกเขาก็ได้ตัว “Alejandro Rojas” (อเลฮันโดร โรฮาส) หนึ่งในผู้ใกล้ชิดมาคารอฟ ด้วยสกิลการสอบปากคำที่โซปได้จำมาจากสมัยที่ทำงานร่วมกับกัปตันไพรซ์ ก็ทำให้ทราบว่า การจะล่อให้มาคารอฟออกมา ต้องใช้ตัวศัตรูอันดับหนึ่งของมัน “นักโทษหมายเลข 627″ ที่ถูกจองจำในป้อม The Gulag เป็นตัวล่อ
ด้วยการประสานงานของสามหน่วยงาน นาวิกโยธิน กองทัพบกสหรัฐ และกองทัพเรือ ที่ช่วยให้ทีมงาน Task Force 141 เข้าถึงตัว“นักโทษหมายเลข 627″ ที่ป้อม The Gulag และนักโทษที่ว่า ไม่ใช่ใครที่ไหน...เขาคือ “กัปตันไพรซ์” ที่หายสาปสูญไปนานกว่า 5 ปีนั่นเอง!!
และทันทีที่กัปตันไพรซ์ออกมาจากการจองจำ ก็ได้มีแผนที่จะล้างแค้นมาคารอฟ และหยุดสงครามของอเมริกา vs รัสเซีย เขาจึงตั้งทีมเพื่อทำภารกิจ “ปล้นเรือดำน้ำรัสเซีย” และ “ปล่อย ICBM (Intercontinental Ballistic Missile) หรือจรวดพิสัยไกลที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ใส่อเมริกา” แต่ระเบิดจะทำงานที่ชั้นบรรยากาศเหนือน่านฟ้าของวอชิงตัน ดีซี โดยหวังว่าจะใช้แรงอาฟเตอร์ช๊อค ของนิวเคลียร์ สร้าง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ EMP (Electromagnetic Pulse) รบกวนการทำงานของอากาศยานทุกชนิด และพวกเขาทำสำเร็จ จ่าโฟเลย์ที่ติดแหง็กอยู่ในวอชิงตัน ดีซี ก็สามารถพาพรรคพวกต้านทางการยึดทำเนียบขาวไว้ได้ ถึงแม้ว่าตัวทำเนียบ และเมืองจะพินาศปด้วยซากปรักหักพัง…
สิ่งที่จ่าโฟเลย์คิดในตอนนั้นมีเพียงอย่างเดียว “รอวันที่กองทัพอเมริกาจะทำการล้างแค้น ด้วยการยึดเมืองของรัสเซีย” ซึ่งถ้ามีคำสั่งนี้เมื่อไหร่ เขาจะเป็นคนแรกที่อาสาเข้าไปถล่มกองทัพดาวแดงนี้แบบไม่ลังเล…
ในขณะที่แผนหยุดการสู้รบด้วย EMP ของกัปตันไพรซ์ผ่านไปได้ด้วยดี ก็เริ่มงานตามล่ามาคารอฟต่อ ด้วยข่าวกรองจากหลายฝ่ายระบุว่า เหลือ 2 ที่ ที่มาคารอฟจะกบดานได้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะแยกคนของเขาออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก “กัปตันไพรซ์” และ “โซฟ” จะไปลุยที่อัฟกานิสถาน
ส่วน “โรช” และ ทหารหน้ากากผี “Simon “Ghost” Riley” (ไซม่อน”โกสท์”ไรลี่ย์) มือดีที่สุดอีกคนของกลุ่ม Task Force 141จะไปลุยที่เซฟเฮ้าส์ในเทือกเขาคอเคซัส แต่ก็เป็นกับดักที่ล่อให้พวกเขาเข้ามาติดกับถึงอย่างนั้น พวกเขาก็เอาตัวรอดมาจนถึงจุดถอนกำลังเฮลิคอปเตอร์ที่มีนายพลเชพเพิร์ด โดยสารมาด้วยก็มาถึง…และนายพลเชพเพิร์ดก็จ่อปืน ยิงเผาขนเข้าทั้งสองคนเต็มๆ! เพื่อปิดปาก และชิงข้อมูลสำคัญที่ทั้งสองคนนี้ได้มา
***ในตอนนี้ เรื่องราวทั้งหมดก็กระจ่างแล้วว่า ทั้งนายพลเชพเพิร์ด และ มาคารอฟ ต่างรู้เห็นเป็นใจกัน โดยตัวนายพลเชพเพิร์ดอยากจะเป็นวีรบุรุษสงคราม จึงได้ทำการเตี๊ยมกันกับมาคารอฟ ในการปลุกระดมให้กลุ่มคนรักชาติของรัสเซียก่อการร้ายที่สนามบิน จนลากยาวมาถึงการยกพลถล่มสหรัฐอเมริกาของกองทัพรัสเซีย***
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมด กัปตันไพรซ์ และ โซฟ ก็ได้ยินผ่านทางวิทยุสื่อสาร โดยหลังจากการตายของมิตรสหายร่วมรบที่เกิดจากคนที่พวกเขาไว้ใจ ทำให้ความแค้นของกัปตันไพรซ์ และโซฟปะทุขึ้น โดยขอเจรจาสงบศึกกับมาคารอฟชั่วคราว เพื่อตามลากไส้นายพลเชพเพิร์ด ผ่านทางโทรศัพท์ โดยมาคารอฟก็ยินยอม (?) บอกที่กบดานของ “Shadow Company” กองทัพส่วนตัวของนายพลเชพเพิร์ดให้
โดยที่กบดานของนายพลเชพเพิร์ด ก็คือ “Site Hotel Bravo”ในอัฟกานิสถาน โดยคราวนี้พวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆอีกต่อไป เป็นการสู้รบของคนสองคน บุกตะลุยกองทัพ แบบ “ตีตั๋วเที่ยวเดียวแลกชีวิต” เพื่อลากคอนายพลเชพเพิร์ดมาสะสางบัญชีแค้น การไล่ล่าจึงเกิดขึ้น และจบลงที่พวกเขาร่วงลงไปที่น้ำตกสูง พร้อมๆกับเฮลิคอปเตอร์ของนายพลเชพเพิร์ดที่ร่วงลงไป
เมื่อได้สติ โซฟจึงได้เดินไปยังจุดตกของเฮลิคอปเตอร์ เขาได้ดวลมีดกับนายพลเชพเพิร์ด และพลาดท่าถูกแทงเข้าที่ปอดเต็มๆก่อนที่สติจะเลือนลาง กัปตันไพรซ์ก็ตามมาช่วย แรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะสิ้นสติ โซฟตัดสินใจดึงมิดที่ปักอยู่ที่หน้าอก แล้วซัดเข้าไปที่กลางกระหม่อมของนายพลเชพเพิร์ดตายคาที่…
ลมหายใจรวยรินของโซฟที่รอเวลาตายอย่างช้าๆ ก็เห็นภาพของกัปตันไพรซ์ และ นิโคไลสหายเก่าหิ้วปีกของเขา ขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับไปยังเซฟเฮ้าส์ในอินเดียต่อไป…
——–
Call of Duty : Modern Warfare 3
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการตายของนายพลเชพเพิร์ด โซฟที่กำลังอยู่ในอาการใกล้เฝ้ายมบาล ก็ได้นิโคไล สายลับรัสเซียที่ไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ของสองฝ่าย (อเมริกา vs รัสเซีย) ได้ขับเฮลิคอปเตอร์มาลงจอดที่เซฟเฮ้าส์ ซึ่งอยู่ใกล้เทือกเขาหิมาลัย ทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งในตอนนี้ หน่วย Task Force 141 ถูกขึ้นบัญชีเป็น “ผู้ก่อการร้ายสากล” ไปแล้ว (ตามที่นายพลเชพเพิร์ดกล่าวในช่วงท้ายภาค 2) และหลังจากพักฟื้นได้ไม่นาน พวกเขาก็ถูกกองทัพของมาคารอฟไล่ล่าและนิโคไลก็ขอเสนอผู้ช่วยคนใหม่ “พลทหารยูริ” อดีตหน่วยรบพิเศษ Spetsnaz ในการคุ้มกันโซฟออกไปจากเมืองให้เร็วที่สุด…
ในขณะเดียวกันที่อเมริกาเริ่มเดินเกมกระชับพื้นที่ต่อสู้กับกองทัพรัสเซียที่หลงเหลืออยู่ ทำให้ทางกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ตัดสินใจส่ง “จ่าฟรอสท์” และ “จ่าแซนด์แมน” แห่ง “ทีมเดลต้าฟอร์ซ” โดยได้รับคำสั่งให้ไป “ทำลายหอคอยรบกวนสัญญาณ”ที่ดาดฟ้าของอาคารตลาดหลักทรัพย์บนเกาะแมนฮัตตัน เพราะถ้ามีเสาสัญญาณที่ว่า ก็จะทำให้ระบบดาวเทียม ระบบสื่อสารไม่สามารถใช้งานได้ รวมไปถึงการบอกพิกัดจุดทิ้งระเบิดของเครื่องบินทิ้งระเบิดด้วย
หน่วยเดลต้าทำภารกิจสำเร็จ เครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถระบุพิกัดเป้าหมายได้ชัดเจน การทิ้งบอมบ์ระดับ “เผายันรังปลวก” ได้ส่งผลให้ทางทัพรัสเซียต้องถอยแนวรบมายังริมเเม่น้ำฮัตสันใกล้ อ่าวนิวยอร์ก และแผนขั้นต่อไปคือการผนึกกำลังกับ “หน่วยSEAL”เพื่อยึดเรือดำน้ำรัสเซีย (เรือดำน้ำชั้น Oscar) และกดยิงจรวดที่มากับเรือดำน้ำ ถล่มใส่จากแนวหลังของกองทัพรัสเซีย แผนสำเร็จอย่างงดงาม รัสเซียแตกพ่ายถอนกลำลังออกจากนิวยอร์คไปได้ในที่สุด
สองเดือนต่อมา ประธานาธิบดีรัสเซีย Boris Vorshevsky (บอริส วอร์เชฟสกี้) ต้องการร่างสนธิสัญญาสงบศึกกับทางอเมริกาที่เมืองฮัมบรูก ประเทศเยอร์มัน แต่ทางมาคารอฟได้ทราบข่าวการเดินทางลับนี้ จึงได้ส่งคนเข้าปล้นเครื่องบิน และชิงเอาตัวประธานาธิบดีรัสเซีย เพื่อเค้นเอารหัสปลดล๊อกนิวเคลียร์ไปใช้ในการถล่มอเมริการอบใหม่
กลับมาที่หน่วย Task Force 141 กัปตันไพรซ์ โซฟ และ ยูริ ได้เดินทางไปยังประเทศเซียร่าลีโอน เพื่อไปตรวจสอบหาเบาะแสของสินค้าที่มาจาก บริษัท Fregata (เฟรกาต้า) โดยสินค้านั้นจะไปส่งใน โมร็อคโค สเปน เเละ สหราชอาณาจักร แต่พวกเขาก็มาช้าไป เพราะสินค้าได้ออกเดินทางแล้ว
ในเวลาไม่ห่างกันมาก ที่อังกฤษ ก็ได้รับรายงานว่ามีวัตถุจากทางบริษัทเฟรกาต้าได้หลุดรอดเข้ามากลางเมืองลอนดอน…แต่ทว่ายังไม่ทันได้ตรวจสอบอะไรมาก ก็มีแก๊สพิษระเบิดออกมาจากรถขนส่งคันดังกล่าว ซึ่งนอกจากอังกฤษแล้ว ทุกประเทศในแถบยุโรปต่างก็โดนเจ้าอาวุธเคมีตัวนี้คร่าชีวิตประชากรไปแทบทั้งหมด
เหตุแก๊สเคมีระเบิดนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่ “ทีมเดลต้าฟอร์ซ” เข้ามารับภารกิจช่วยรองประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ เมืองฮัมบรูก ประเทศเยอรมัน ที่นี่แต่เดิมจะเป็นสถานที่ๆจะใช้เป็นโต๊ะเจรจาสันติภาพ ระหว่างผู้นำสหรัฐเเละรัสเซีย แต่ในที่สุดแล้ว ที่นี่ก็กลายเป็นสมรภูมิอีกแห่งจนได้ เพราะกองทัพรัสเซีย เริ่มเดินเกมรุกฆาตประเทศฝั่งยุโรปที่เข้ากับพวกอเมริกา พวกเขาช่วยท่านรองประธานาธิบดีสหรัฐออกมาได้ เป็นอันจบภารกิจ
กลับมาที่ Task Force 141 กัปตันไพรซ์ได้ต่อสายหามิตรสหายเก่า “ผู้กองแมคมิลาน” ที่ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่เคยทำภารกิจร่วมกันสังหาร “อิมราน ซาคาเยฟ” เมื่อ20 ปีที่แล้ว เพื่อหาเบาะเส ของมาคารอฟ ผบ.แมคมิลานจึงได้มอบข้อมูลที่ระบุถึง “เส้นทางที่ส่งอาวุธเคมี” ภายใต้การดูแลของ“Waraabe” (วาราบี) ในท่าเรือโบซาโซ่ ประเทศโซมาเลีย ที่นั่นพวกเขาต้องรับมือกับกับกอง
ทหารของวาราบีเป็นกองทัพ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของหน่วยเดนตายอย่าง Task Force 141
กัปตันไพรซ์ เริ่มซักถามวาราบี จนได้เรื่องว่า คนที่ชื่อ Volk (โวล์ค) ที่เป็นคนกำหนดจุดวางระเบิด และกำลังกบดานที่ฝรั่งเศส และเมื่อได้ข้อมูลแล้ว กัปตันไพรซ์จึงเป่าสมองเขา แล้วพากันออกจากที่นี่ ซึ่งทางทีมเดลต้าฟอร์ซเองก็ได้ภารกิจชิงตัวโวล์ค ที่ประเทศฝรั่งเศสเช่นกัน ด้วยความร่วมมือของหน่วย GIGN ทำให้ภารกิจจบลงด้วยดี (แบบเละเทะเหมือนเดิม) ซึ่งการได้ตัวโวลค์ทำให้แผนการเปลี่ยนไปนิดหน่อย ประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกา จึงได้ออกมาขอร้องให้ได้ตัวโวล์คมาเป็นๆ ภายใต้การคุ้มกันของเครื่องบิน A130 ที่บินเหนือชั้นบรรยากาศ(อีกแล้ว)
“จ่าแซนด์แมน” ได้ส่งความคืบหน้าใหม่ให้กัปตันไพรซ์ มุ่งหน้าไปยัง “โรงแรมลุซติก” (hotel Lustic) ประเทศสาธารณรัฐเชค (หรือ “เชคโกสโลวาเกีย” ที่เป็นหนึ่งในเขตโซเวียตเก่า) เพราะมาคารอฟจะเข้ามาประชุมกับพรรคพวกที่นี่ โดยการสนับสนุนของ“จ่าคามารอฟ” อดีตทหารรัสเซีย ทำให้กัปตันไพรซ์ และชาวคณะได้ผ่านไป…
แผนการดักรอการประชุมของมาคารอฟได้ดำเนินต่อไป…แต่มารู้ตัวอีกทีที่นี่ก็เป็นกับดัก มาคารอฟไม่มา แถมยังถูกวางระเบิดใส่ โซฟเสียชีวิตหลังจากที่หลบหนีออกมาจากจุดเกิดเหตุ ก่อนสิ้นใจ เขาได้บอกกับกัปตันไพรซ์ถึงเรื่องของยูริ กับ มาคารอฟ ที่เป็นคนรู้จักกัน…กัปตันไพรซ์ที่สูญเสียเพื่อนรัก และกำลังสับสน บวกกับความโมโห จึงได้ถามกับยูริตรงๆว่า รู้จักกับมาคารอฟได้ยังไง…
ยูริเล่าว่า เขาเคยเป็นมือขวาของมาคารอฟ ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ใน “ภารกิจลอบสังหาร อิมราน ซาคาเยฟ”ของกัปตันไพรซ์ เขาก็อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นอุดมการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยบอกทำเพื่อชาติ ก็ค่อยๆกลายเป็นการครองอำนาจ สนองความอยากของตัวเองไป ทั้งการจุดระเบิดนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง ที่ทำให้นาวิกโยธินตายเป็นเบือ (ใน MW ภาคแรก) หรือจะเป็นเหตุในสนามบินนานาชาติรัสเซีย เขาก็อยู่ที่นั่น และก็ถูกเก็บไปในเหตุนั้น แต่เคราะห์ดีที่หมอ และพยาบาลมาช่วยเขาไว้ทัน และสัญญาว่าจะล้างแค้นมาคารอฟให้ได้…
ไม่กี่ชม.ต่อมา หลังจากโซฟตายไป กัปตันไพรซ์จึงเริ่มเดินแผนงานไล่ล่ามาคารอฟต่อ โดยข้อมูลที่ได้จากผบ.สูงสุด แมคมิลานได้ระบุว่า กองบัญชาการของมาคารอฟ อยู่ใกล้ๆกรุงปราก ซึ่งการเข้าโดยปลอดภัยนั้นจะต้องโดดร่มเข้ามาเท่านั้น แต่ที่นั่นไม่พบกับมาคารอฟได้ทราบที่อยู่ของลูกสาวประธาณาธิบดีรัสเซีย ที่มาคารอฟได้ส่งคนไปจับตัว
เมื่อทราบแผนแล้ว กัปตันไพรซ์จึงประสานไปยังกองทัพอเมริกา ให้ไปช่วยลูกสาวประธานาธิบดีรัสเซียที่อยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน แต่เมื่อทีมเดลต้าฟอร์ซได้เข้าทำภารกิจนี้ ก็พบว่าลูกสาวประธานาธิบดีรัสเซียได้ถูกพวกของมาคารอฟลักพาตัวไปแล้ว
2วันต่อมา หน่วย Task Force 141 เเละ ทีมเดลต้าฟอร์ซ ได้สนธิกำลังกันเพื่อบุกมายังเหมืองแร่แห่งหนึ่งทางตะวันออกของไซบีเรีย เพื่อช่วยเหลือประธานาธิบดีรัสเซีย และลูกสาว ที่ถูกพวกของมาคารอฟจับตัวมา ทั้งสองคนปลอดภัย แต่ก็เสียกำลังพลของทีมเดลต้าฟอร์ซไปมากในเหตุนี้ ซึ่งหลังจากนั้นไม่กีวัน ทางอเมริกา และรัสเซีย ได้ลงนามข้อตกลงสงบศึกที่ทำเนียบขาว
แต่อำนาจ และอิทธิพลของมาคารอฟยังคงอยู่ กัปตันไพรซ์จึงขอออกทำภารกิจด้วยตัวเอง เพื่อสะสางบัญชีแค้นที่ทั้งกักขังเขาไว้นานนับปี และทำเพื่อเพื่อนร่วมรบมากมายที่ตายไปในเหตุนี้ และที่กบดานสุดท้ายของมาคารอฟอยู่ที่โรงแรมโอเอซิส ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์…
ศึกตัดสินของกัปตันไพรซ์ครั้งนี้ ก็สูญเสีย “ยูริ” เพื่อนร่วมรบคนสุดท้ายที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด กัปตันไพรซ์ทุ่มพลังความแค้นทั้งหมดลงไปที่มาคารอฟ และจับวายร้ายแขวนคอได้สำเร็จ ส่วนตัวเองก็นั่งหมดอาลัยตายอยาก จุดซิก้าร์ขึ้นมาสูบ…อันเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ
และจบเรื่องราวทั้งหมดของ Call of Duty : Modern Warfare ไตรภาคลงตรงนี้ พร้อมๆกับการเป็นตำนานเกมแอคชั่นยิงแหลก มุมมองบุคคลที่หนึ่ง ที่ได้ชื่อว่า “เนื้อเรื่องยอดเยี่ยมที่สุดเกมหนึ่งของโลกวิดิโอเกม”…
แอดมิน Ak47
-
Blokees Saint Seiya – Star Edition : 1st [กล่องสุ่ม / ราคา / วันวางขาย / สั่งซื้อ]
#Blokees #SaintSeiya #Toys #Model #กล่องสุ่ม
-
ทำความรู้จักม้ามืดของปี 2024 Balatro: เกมไพ่ผสมกลยุทธ์สุดมันส์
#เกมส์ #เกมไพ่ #เกมกลยุทธ์ #เกมมือถือ
-
Dynasty Warriors: Origins [สั่งซื้อเกมถูก , PS5, Xbox Series,PC]
วีรบุรุษไร้นาม จะลุกขึ้นต่อสู้ในโลกของสามก๊ก