Bumblebee [Movie รีวิว / Review]
ประเภท : ภาพยนตร์
แนว : Action / Sci-Fi
ผู้กำกับ : Travis Knight
ต้นฉบับโดย : Hasbro
ผู้ผลิต : Hasbro / Paramount Pictures / Platinum Dunes
นักแสดง : John Cena / Pamela Adlon / Hailee Steinfeld / Gracie Dzienny / Abby Quinn / Ricardo Hoyos / Jason Drucker / Jorge Lendeborg Jr. / Rachel Crow
ฉาย : 20ธันวาคม 2018
หลังจากเนื้อหาของภาพยนตร์ชุด Transformers สามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำไรช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถึงจะสวนกระแสกับคำวิจารณ์ก็ตาม แต่คนก็ยินดีที่จะตีตั๋วเข้าไปจนมีโครงการสร้างต่อยาวๆไปอีก 30ปีข้างหน้า แม้ว่าภาคที่ 6 จะยังไม่มีกำหนดอะไรออกมาในเวลานี้ แต่ภาคเสริมเนื้อหาของตัวละครยอดนิยมอย่าง “บัมเบิ้ลบี” ก็ได้มีการร่างบท เตรียมถ่ายทำ และ กำหนดวันฉายแล้ว กับภาพยนตร์ที่ชื่อตามตัวละครพระเอกเลยอย่าง “Bumblebee”
เรื่องย่อ
สงครามกลางเมือง ณ ดาวไซเบอร์ตรอน เหล่าทรานสฟอร์เมอร์ได้สู้รบกัน โดยแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่ “ออโต้บอท” ชนเผ่าจักรกลที่รักความยุติธรรม รู้จักคุณค่าของชีวิต และการอยู่ร่วมกันกับทุกชีวิตในจักรวาล กับอีกฝ่ายคือ “ดีเซปติค่อน” หุ่นยนต์ฝ่ายที่เชื่อว่าเผ่าพันธุ์ของตน แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันจนดาวไซเบอร์ตรอนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ออพติมัส ไพร์ม ผู้นำฝ่ายออโต้บอท ได้สั่งให้พรรคพวก ทิ้งดาวบ้านเกิด กบดาบตามที่ต่างๆในจักรวาล และมอบหมายให้ “บี-127″ ทหารคนสนิท ได้อพยพมายังโลก เพื่อเตรียมการสร้างกองกำลังออโต้บอทที่นั่น…
ในปี 1987 “บี 127″ นักรบชาวไซเบอร์ตรอนที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบ สูญเสียกล่องเสียงและความทรงจำ ก็ได้หนีมาซ่อนตัวในสุสานรถแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับ “ชาร์ลี” (แสดงโดย เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) กำลังจะอายุ 18 ก็ได้พบกับซากของรถเต่าสีเหลือง และในตอนนั้นเธอก็ได้เผลอทำให้“สปาร์ค”แหล่งพลังงานของทรานสฟอร์เมอร์ในตัวของ บี-127 ตื่นขึ้น ชาร์ลีดูแลนักรบไซเบอร์ตรอนที่ลงมายังโลก พร้อมตั้งชื่อว่า “บัมเบิ้ลบี”
แต่ทางฝ่ายดีเซปติคอนเองก็ได้ส่งมือสังหารสองตัว “ดรอปคิก” และ “แชทเตอร์” ออกไล่ล่าบัมเบิ้ลบี และชาร์ลี งานนี้ร้อนถึงหน่วยงาน Sector 7 ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องราวครั้งนี้…ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ไปตามต่อเอาในโรงภาพยนตร์ครับ
ส่วนเสียงพากย์ไทย จะได้ ปัญ BNK48 มาให้เสียง “ชาร์ลี” นางเอกของเรื่องนี้อีกด้วย ซึ่งเดี๋ยวไว้มีโอกาสจะพูดถึงละกัน หรือใครที่ได้ดูแล้ว มาคอมเม้นท์กันได้ครับ
รีวิว 9/10 Rank A
“ลดความบ้าพลัง แล้วใส่หัวใจอันอบอุ่นลงไปแทน”
***รีวิวนี้ เป็นรีวิวจากรอบ Sneak Peak เสียง Soundtrack***
ตัวหนังที่กำลังมองหาทิศทางใหม่ๆ หลังจากที่ “ไมเคิล เบย์” ได้ทำให้แฟรนไชส์สงครามหุ่นเหล็กตีกัน กลายเป็นหนังแอคชั่นบ้าพลัง ระเบิดเขาเผากระท่อมมานานนับปี และยิ่งทำ ก็ยิ่งห่างไกลของคำว่าเนื้อหาสาระสำคัญ ทำให้แฟนๆพากันหมดศรัทธาในเนื้อหา แล้วไปดูด้วยความคิดที่ว่า “ไปดูหุ่นยนต์ตีกันก็พอ” แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่มาถึงทางตัน ก็ได้เวลา “รีเซต” เพื่อทำให้จักรวาลทรานส์ฟอร์เมอร์ไปได้ไกลกว่าเดิม
และในหนังเดี่ยวบัมเบิลบีเรื่องนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนแฟรนไชส์นี้ไปในทิศทางที่หวังว่าจะดีขึ้น ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมง 30 นาที ของหนัง ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ชัดเจนว่า เออ นี่จะพยายามหลุดจากภาพหนังของเบย์แล้ว ด้วยการเปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่องให้ซอฟท์ลง จนกลายเป็นหนังเด็ก แล้วเน้นไปที่ความสัมพันธ์ตัวละคร ใส่เรื่องราวความผูกพันธ์ สไตล์หนัง E.T.เพื่อนรัก ที่ดูแล้วละมุน อบอุ่นหัวใจ ใครที่รักบัมเบิ้ลบี มาในยุคของเบย์ นี่คือหนังที่ตอกย้ำความน่ารัก และเป็นมิตรของเจ้าหุ่นสีเหลืองตัวนี้ได้ดี อีกทั้งเพลงประกอบจากนักร้องดังๆในยุคนั้น ก็ขนมาให้หายคิดถึงหลายสิบเพลง ทั้ง Take on me ของ A-Ha / Never Gonna give you up ของ Rick Astley หรือแม้แต่ เพลงประกอบจากหนังการ์ตูนทรานสฟอร์เมอร์ยุค80 อย่าง The Touch โดยศิลปิน Stan Bush ก็มีในหนังด้วย ขนลุกเลยที่เพลงเหล่านี้ถูกเล่นในหนังเรื่องนี้ Nostagia มาเต็ม!!
ในขณะที่บรรยากาศโดยรวมของหนัง มีฟิลลิ่งของดราม่าตัวละครชีวิตวัยรุ่นที่มีปมในวัยที่เปลี่ยนผ่าน ก็ไม่ได้แปลกใหม่นักถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ แต่ทำออกมาได้ลงตัว เราจะหลงรักตัวละครสาวชาร์ลีคนนี้ เหมือนที่คุณเคยรัก แซม วิทวิคกี้ จากไตรภาคแรกได้ไม่ยาก บทหนังมีครบ ทั้งบทที่ตลกขำในคอ ไปจนถึงอมยิ้มได้ในหลายๆซีน ซึ่งต้องชมทั้งฝีมือการแสดงของ เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ และทีม CG ที่ทำการแสดงสีหน้า การเคลื่อนไหวต่างๆของบัมเบิ้ลบี ออกมาเป็นธรรมชาติ แอดมินดูแล้วเชื่อว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนรักกันจริงๆ ผ่านอะไรมาด้วยกันจริงๆ คุณอาจจะเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้ไม่ยาก
ส่วน จอนห์ ซีน่า นั้น ในหนังถูกวางคาแรคเตอร์ให้พี่แกดูทื่อๆ เล่นใหญ่ เยอะ ขี้แอคจนดูเกินความจำเป็น ใครที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับพี่แก อาจจะสงสัยว่าทำไม แต่ถ้าใครดูมวยปล้ำมานาน แล้วเห็นพี่แกจะเข้าใจเลยว่า “เจ้าหน้าที่เบิร์นส ไม่ได้เข้าฉากนั้น แต่เป็น จอนห์ ซีน่า ต่างหาก ที่เข้าฉาก” คือพี่แกเล่นเป็นตัวเองเลย คาแรคเตอร์เหมือนสมัยที่ยังเล่นมวยปล้ำนั่นแหละ
ในส่วนของดีไซน์หุ่นของเรื่อง ต้องบอกว่า “ใครที่เป็นแฟนทรานส์ฟอร์เมอร์ยุค G1 ศึกสงครามไซเบอร์ตรอน คุณจะรักหนังเรื่องนี้” ซึ่งตัวแอดมินเอง ก็เป็นผู้ที่ติดตามทรานสฟอร์เมอร์ในยุคที่ฉายทางทีวีสีช่องสามสมัยเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา สารภาพว่า “โคตรรัก โคตรปลื้มกับดีไซน์นี้สุดๆ” ดีไซน์ตัวละคร ทำมาเคารพต้นฉบับการ์ตูนมากๆ มี Cameo ที่แฟนหุ่นทรานสฟอร์เมอร์จริงๆเห็นแล้วต้องกรีดร้องว่า “เฮ้ย มาด้วยเหรอวะ “
ส่วนเซตอัพฉากต่อสู้ ในหนังเรื่องนี้จะต่างจากของไมเคิล เบย์มาก เพราะตัวหนังจะเน้นฉากต่อสู้ที่ดูง่าย ไหลลื่น ไม่เวียนหัว หรือเต็มไปด้วยเมคานิคชวนปวดตา (ส่วนหนึ่งเพราะดีไซน์ป้อมๆตันๆแบบการ์ตูน ก็ช่วยได้) เราสามารถแยกออกว่า เออ ตัวนั้นสู้กับตัวนี้นะ ไม่ค่อยใช้ฉากต่อสู้แฝงสโลว์โมชั่นพร่ำเพรื่อเวิ่นเว้อเหมือนดูหนังโฆษณา (เบย์ แกสายทำหนังโฆษณาเก่า) ต่อย เตะ ฆ่า ไล่ยิง มันก็ทำกันตรงนั้นเลย ไม่มียิมนาสติกลีลาอะไรให้น่ารำคาญ เป็นหนังที่ออกแนวทำน้อย ได้มาก ดูเพลิน
เป็นหนังบล๊อคบัสเตอร์ส่งท้ายปี อีกทั้งยังเป็นหนังทรานสฟอร์เมอร์ที่ดีที่สุด ที่คุณสามารถพาครอบครัวไปดูได้เลยครับ ไม่ผิดหวัง!!
ตัวภาพยนตร์มีกำหนดฉาย 20 ธันวาคม 2018
แอดมิน AK47
ตัวอย่างซับไทยแบบเต็ม
บทสัมภาษณ์ทีมงาน Bumblebee
-
BEYBLADE X : 10 ตัวน่าซื้อ ของมันต้องมีในปี 2024
#beybladex #kctoysbeybladex #beybladexthailand
-
KARATE KID: LEGENDS [เรื่องย่อ / ตัวอย่าง / หนังใหม่ /2025]
#KarateKidMovie #KarateKi #เฉินหลง #JackieChan
-
20 ตัวละครจากเกมยอดนิยมที่ถูกค้นหามากที่สุดในเวปไซต์สำหรับผู้ใหญ่ 2024
#Ranking #website #Games #PC #Console