ชื่อเรื่อง : Back to the Future…เจาะเวลาหาอดีต
ประเภท : ไซไฟ
อำนวยการสร้างโดย : Steven Spielberg
กำกับโดย : Robert Zemeckis
เขียนบทโดย : Robert Zemeckis, Bob Gale
นำแสดงโดย : Michael J. Fox, Christopher Lloyd, Lea Thompson, Crispin Glover, Thomas F. Wilson
ทุนสร้าง : 19 ล้านดอลลาร์
ฉายครั้งแรก : 3 กรกฎาคม 1985
เด็กหนุ่มร็อคสตาร์, นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง และ รถยนต์ข้ามเวลาสุดเท่ สามสิ่งนี้ถ้าพูดออกไปแล้หลายคนจะต้องนึกถึงภาพยนตร์อย่าง Back to the Future หรือชื่อที่หลายคนรู้จักอย่าง เจาะเวลาหาอดีต หนังแนวไซไฟผลงานระดับตำนานจากฝีมือของ Robert Zemeckis ที่ในเวลาต่อมาเขาจะมีผลงานน่าจำจำมากมาย อาทิ Forest Gump และ Cast Away นอกจากจะเป็นภาพยนตร์ที่ตรึงใจผู้ชมจนทุกวันนี้ มันยังกลายเป็น Pop Culture ระดับโลกที่เรายังเห็นตามสื่อต่างๆอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงเป็นหนังแม่แบบแนวย้อนเวลาให้กับหนังเรื่องอื่นๆอีกด้วย
วันนี้เราจะย้อนเวลาไปดูหนังเรื่องนี้กันรวมถึงเรื่องราวที่น่าสนใจมาฝากกันครับ ถ้าพร้อมแล้วเราไปย้อนอดีตกันครับผม…
**เนื้อหาต่อไปนี้อาจเผยเรื่องราวสำคัญ**
Back To the Future (1985)
มาร์ตี้ เด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรีชื่อก้อง แต่ชีวิตของเขาวนลูปกับชีวิตไม่เอาไหน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีพ่อดูสงบเสงี่ยม ยอมไปทุกเรื่องและแม่ที่เคร่งครัดและเจ้าระเบียบ รวมถึงพี่น้องของเขาที่ไม่เอาไหน แต่ชีวิตเขาก็ไม่ขาดสีสันไปซะทีเดียว เมื่อเขามีเพื่อนบ้านอย่าง ดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ หรือ ด็อก บราวน์ นักวิทยาศาสตร์ สติเฟื่อง ที่ขอนัดเจอเขาที่ลานจอดรถทวินไพน์สมอลล์ เพื่อจะให้มาดูทีเด็ดของเขาที่อยากจะอวดโฉม
ทีเด็ดที่ว่าคือ รถ DeLorean DMC12 ที่เขาดัดแปลงให้กลายเป็นไทม์แมชชีนข้ามเวลา โดยเขาได้อธิบายให้พระเอกได้ฟังนั่นคือ รถคันนี้จะสามารถข้ามเวลาได้ดั่งใจต้องการ โดยต้องทำความเร็วให้ถึง 88 ไมล์ต่อชั่วโมง โดยการทดลองครั้งนั้นมาร์ตี้ได้เป็นส่วนหนึ่งวินาทีสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
แต่หลังจากฉลองความสำเร็จไม่นาน กลุ่มโจรวายร้ายก็เข้ามาทำร้ายด็อกจนสิ้นสภาพ (สาเหตุเพราะด็อกใช้พลูโตเนียมเป็นพลังงานซึ่งเป็นของที่โจรต้องการจะเอาไปใช้) ก่อนจะไล่ล่าพระเอกของเรา แต่อีกฝ่ายใช้รถหลบหนีการไล่ล่า โดยที่เขาไม่รู้ว่าเขากำลังขับไทม์แมชชีน ก่อนจะพยายามสลัดหนีกลุ่มโจร ด้วยการเร่งความเร็วจนเผลอเหยียบถึง 88 ไมล์แล้ววินาทีนั้นเองรถ DMC ก็ทำงาจนไปยังจุดหมายปลายทาง
ด้วยพลังของ DMC ทำให้มาร์ตี้เดินทางมายังวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 1955 ซึ่งเป็นปีที่เขายังไม่เกิด ทำให้เขาเหมือนหลงยุคเข้ามาในช่วงเวลาของอดีต แถมรถ DMC ก็ดันมีปัญหาจึงต้องซ่อนรถแล้วออกตามหาด็อกเพื่อซ่อมรถกลับไปยังเวลาปัจจุบัน แต่ทว่า มาร์ตี้ได้เจอ จอร์จ และ ลอร์เรน หรือ พ่อแม่ของเขานั่นเอง ทำให้บางตอนเขาเผลอไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในที่สุดมาร์ตี้ได้เจอกับด็อกในวัยหนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายไม่ปักใจเชื่อ จนมาร์ตี้ต้องตอบคำถาม (หนึ่งในนั้นคือใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในปีของมาร์ตี้ !!) รวมถึงเปิดวีดีโอให้ดู ทำให้ด็อกวัยหนุ่มไขสมการเรื่องราวครั้งนี้ นั่นคือต้องใช้พลังงานจากฟ้าผ่าที่เรียกว่าแรงที่สุดในสมัยนั้นในการพามาร์ตี้กลับไปยังช่วงปัจจุบัน แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น มาร์ตี้พบว่ารูปถ่ายของเขาที่ถ่ายกับครอบครัวเริ่มจางหายไป ด็อกวัยหนุ่มบอกว่า เพราะมาร์ตี้ไปแก้ไขช่วงเวลา ถ้าไม่แก้ไขมาร์ตี้อาจจะหายไปตลอดกาล
ในช่วงที่รอหาทางกลับเวลาปัจจุบัน มาร์ตี้จึงต้องหาทางช่วยพ่อของตนเองให้รักกับแม่ให้ได้ แล้วมาร์ตี้ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา เมื่อเขาเห็นป้ายงานพรอมที่จะจัดขึ้นวันเสาร์นี้ โดยเขาพร้อมจะเล่นเป็นโจรจับตัวแม่เป็นตัวประกันแล้วให้พ่อมาช่วย ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะกลับไปเวลาปัจจุบันเพราะวันเสาร์จะเกิดฟ้าผ่า ทุกอย่างลงตัว
เมื่อถึงคืนวันเสาร์หลังจากที่ไปเตรียมแผนเพื่อกลับปัจจุบัน เขาจึงรีบมาที่โรงเรียนเพื่อเตรียมแผนให้พ่อและแม่สมหวัง แต่ทว่าอุปสรรคก็เกิดขึ้นเมื่อ บิฟฟ์ เทนเน็น หัวโจกที่ชอบกลั่นแกล้งจอร์จ เป็นประจำเข้ามาเล่นงานลอร์เรน เมื่อลูกชายไม่อาจช่วยเขาได้ เขาจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก่อนจะยิงหมัดจนบิฟฟ์หลับกลางอากาศ แล้วในที่สุดทั้งสองคนก็รักกัน แผนดารของมาร์ตี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
มาร์ตี้รีบมาหาด็อกที่ได้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเมื่อพลังฟ้าผ่าเชื่อมกับไฟฟ้าที่หอนาฬิกา โดยใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อกับเสาล่อฟ้าของหอนาฬิกาเข้ากับโคมไฟสองข้างถนน โดยวางแผนว่าจะให้มาร์ตี้ใช้เดอลอรีนวิ่งผ่านสายไฟที่ขึงข้ามถนนขณะที่เกิดฟ้าผ่า ก่อนที่มาร์ตี้จะไปตั้งหลัก ด็อกก็พบกับจดหมายที่มาร์ตี้เขียนขึ้นในกระเป๋าเสื้อคลุม ซึ่งเตือนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าเขาจะถูกฆ่าตาย ด็อกฉีกจดหมายทิ้งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน และอธิบายว่ามันอาจเป็นอันตรายต่ออนาคต
มาร์ตี้จึงปรับเปลี่ยนเวลาที่จะย้อนกลับให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 นาที เพื่อหวังว่าเมื่อกลับถึงอนาคตแล้วเขาจะมีเวลาเตือนเพื่อนรักของเขาไม่ให้ถูกยิง
แล้วทุกอย่างก็ลงตัวเมื่อฟ้าผ่าโดนเข้าสายล่อฟ้าที่เชื่อมสายเคเบื้ล มาร์ตี้จึงเร่งเครื่องจนในที่สุดเขาสามารถกลับไปยังเวลาปัจจุบันได้สำเร็จ ก่นจะพบว่าด็อกรอดตายจากห่ากระสุน พร้อมว์จดหมายที่มาร์ตี้เคยเขียนเตือนเขาไว้ หลังจากนั้นเขาจึงส่งมาร์ตี้กลับบ้าน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังอนาคตตามที่ตั้งใจไว้
วันต่อมา มาร์ตี้พบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะเหตุการณ์ที่เขาได้ไปแก้ไข ทำให้ครอบครัวของเขามั่นคงมากขึ้น พ่อของเขาก็เป็นนักเขียนชื่อก้อง มีความมั่นใจมากขึ้น แม่ก็ไม่เคร่งระเบียบเหมือนเมื่อก่อน พี่น้องมีหน้าที่การงาน และ บิฟฟ์ กลายเป็นคนรับใช้ประจำตระกูล แถมมาร์ตี้ก็ได้รถที่อยากได้ไปเดทกับแฟนสาวตามที่ตั้งใจ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบอย่างมีความสุข แต่แล้วด็อกที่กลับมาจากอนาคตก็ได้มาตามตัวมาร์ตี้และแฟนขึ้นรถ DMC เดินทางไปยังอนาคต เพราะว่ามาร์ตี้กำลังจะตกอยู่อันตรายที่ส่งผลกระทบไปยังอนาคต แถมรถคราวนี้ใช้พลังงานขยะเป็นเชื้อเพลิง ก่อนที่ทั้งสามจะบินไปยังโลกอนาคตทันที
Back To the Future II (1989)
เรื่องราวในภาคนี้จะเล่าต่อจากเหตุการณ์จบในภาคแรก เมื่อด็อกพามาร์ตี้และแฟนสาวของเขาเดินทางไปยังโลกอนาคตแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งด็อกเล่าสถานการณ์คร่าวๆว่า ลูกๆของมาร์ตี้ไปทำเรื่องผิดร้ายแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อครอบครัวของเขาในอนาคต อีกครั้ง โดยพวกเขาเดินทางมายังปี 2015 (ซึ่งถ้าใครได้ดูจะพบว่า เทคโนโลยีในหนังมันเกิดขึ้นจริงแล้วอยู่หลายชิ้น)
สาเหตุที่ด็อกพูดถึงคือลูกหลานของเขาไปก่อเรื่อง ซึ่งถ้าให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปมันจะกลายเป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่องที่ทำให้คอรบครัวของเขาตกต่ำอีกครั้ง ด็อกจึงให้มาร์ตี้สวมรอยเป็นลูกหลานของตัวเอง ก่อนที่เขาจะเจอ บิฟฟ์และลูกหลานของบิฟฟ์จนเกิดการไล่ล่าชุลมุน ซึ่ง้ทายที่สุด มาร์ตี้ก็แก้ไขช่วงเวลาของครอบครัวตัวเองได้สำเร็จ
ดูเหมือนทุกอย่างจะคลี่คลาย แต่แล้วมาร์ตี้คิดการใหญ่เขาไปซื้อหนังสือ สรุปผลการแข่งขันตั้งแต่ปี 1950-2000 :นั่นหมายความว่าถ้าเขาเอาไปเล่นพนันหรือแทงเลขตามหนังสือ เขาอาจร่ำรวยก็ว่าได้ แต่โชคดีที่ด็อกเห็นเขาและให้เขาทิ้งหนังสือเล่มนี้ไป โดยไม่รู้ว่าบิฟฟ์วัยชรากำลังคิดแผนร้ายก่อนจะหยิบหนังสือสรุปผลเอาไปใช้ซะเลย
เมื่อมาร์ตี้กลับมายังเวลาปัจจุบันกลับพบว่าทุกอย่างมืดมนจนบอกไม่ถูก เพราะ หมู่บ้านกลายเป็นสลัมที่มีคาสิโนตั้งเด่นเป็นสง่า ก่อนจะพบความจริงพ่อของเขาถูกฆ่าและแม่ของเขากลายเป็นภรรยาของบิฟฟ์ ทำให้มาร์ตี้กลายเป็นลูกเลี้ยงของบิฟฟ์ทันที โดยสาเหตุมาจากที่บิฟฟ์ตอนแก่แอบขโมยรถ DMC ไปยังปี 1955 เพื่อส่งหนังสือสรุปผลให้กับ ตัวเขาในวัยหนุ่ม ผลที่ได้คือเขาสามารถทายผลการแข่งทุกประเภทจนกลายเป็นมหาเศรษฐีในเวลาต่อมา
มาร์ตี้จึงตัดสินใจขอให้ด็อกส่งเขากลับไปยังปี 1955 อีกครั้ง ซึ่งย้อนกลับไปช่วงเหตุการณ์ภาคแรก ก่อนที่เขาจะตามบิฟฟ์เพื่อไปชิงเอาหนังสือสรุปผลจากเขาให้ได้ ซึ่งท้ายที่สุดเขาก็สามารถคว้าหนังสือมาได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะทำการเผาหนังสือทิ้งเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง
แต่ทว่าเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับด็อกเมื่อเกิดฟ้าผ่า ทำให้เขาและรถย้อนไปในช่วงอดีต ทำให้ มาร์ตี้ต้องติดอยู่ในช่วงปี 1955 ก่อนที่เขาจะตัดสินใจให้ใครคนหนึ่งที่ช่วยเขาได้ ถ้าไม่ใช่ ด็อกวัยหนุ่มนั่นเอง ฮ่าๆ
Back To the Future III (1990)
เรื่องราวต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว เมื่อมาร์ตี้ไปขอให้ด็อกวัยหนุ่มช่วยพาเขาไปพบด็อก ซึ่งอีกฝ่ายที่เพิ่งส่งมาร์ตี้ไป คงปวดหัว ก่อนที่มาร์ตี้จะมีของสำคัญนั่นคือจดหมายจากด็อกแจ้งว่า ตอนนี้เขาอยู่ในยุคตะวันตกช่วงปี 1885 แต่เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่มีอะไหล่ที่พอจะซ่อมได้เขาจึงเอาเครื่องย้อนเวลาไปฝั่งไว้ในสุสานพร้อมคู่มือ เพื่อให้ด็อกอีกคนช่วยประกอบแล้วส่งมาร์ตี้ไปหาเขาในช่วงเวลาปี 1885 พร้อมทำลายเครื่องข้ามเวลา ก่อนจะทิ้งท้ายในจดหมายไว้ว่าเขาขออยู่ที่นี่เพราะเขามีความรัก!?
มาร์ตี้ที่ได้ด็อกวัยหนุ่มจนเจอ DMC ที่ถูกซ่อนเอาไว้ก่อนจะทำการซ่อมแซม แล้วขับย้อนเวลาไปในปี 1885 .ในยุคตะวันตก ซึ่งเขาได้เจอบรรพบุรุษของครอบครัวตนเอง รวมถึง บูร์ฟอร์ด จอมโจรหมาบ้า ผู้เป็นต้นตระกูลของ บีฟฟ์ นั่นเอง ซึ่งเขาได้เจอด็อกอีกครั้งโดยช่วยให้รอดพ้นกระสุน ก่อนที่ทั้งสองจะหาทางเพื่อกลับไปยังเวลาปัจจุบัน แต่ติดปัญหาที่ไม่มีเชื้อเพลิง
ในที่สุดด็อกจึงได้ไอเดียที่จะส่งมาร์ตี้กลับพร้อมรถ DMC นั่นคือใช้หัวรถจักไอน้ำเป็นแรงขับเคลื่อนโดยต้องทำความเร็วให้ได้ 88 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเวลานั้นด็อกได้เจอกับสาวสวยนามว่า คาร์ร่า ก่อนที่จะชวนไปงานเต้นรำที่หน้าหอนาฬิกา ซึ่งในตอนนั้นเองด็อกคงตัดสินใจที่ต้องเลือกว่าจะกลับไปพร้อมกับมาร์ตี้หรือจะอยู่ที่นี่ต่อไป
ในงานเลี้ยงหน้าหอนาฬิกา กลุ่มของ บูร์ฟอร์ด เข้ามาปั่นป่วนงานเพื่อจะมาจัดการด็อก แต่มาร์ตี้เขามาช่วยไว้ได้ ทำให้จอมโจรหมาบ้าไม่สบอารมรณ์ก่อนจะท้าทายด้วยการดวลปืนในวันรุ่งเช้า เมื่อถึงวันดวล ปรากฏว่าจอมโจรหมาบ้าอย่างบูร์ฟอร์ดสามารถจัดการกับ พระเอกของเราได้ แต่พระเอกที่แอบยัดเกราะเหล็กใส่ทับเสื้อก่อนจะสอนมวยจอมโจรจนสิ้นลายหมาบ้า แล้เขากับด็อกจึงตัดสินใจรีบไปยังหัวรถจักรเพื่อจะกลับช่วงเวลาปัจจุบันตามแผนการที่วางไว้
แล้วสองเพื่อนซี้ต่างวัยก็เริ่มแผนที่จะใช้หัวรถจักรลากรถ DMC เพื่อทำความเร็วให้ได้ 88 ไมล์ ซึ่งท้ายที่สุดด็อกที่ไม่อาจตัดใจจากคาร์ร่าได้ เขาเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วปล่อยให้มาร์ตี้ทำความเร็วเต็มสตรีมจนได้ 88 ไมล์กลับสู่ช่วงเวลาปัจจุบันได้สำเร็จแต่ก็ต้องแลกกับการที่รถ DMC ถูกรถไฟชนแหลกกระเจิงต่อหน้าต่อตา
เมื่อมาร์ตี้กลับสู่ช่วงเวลาปัจจุบัน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับมาเข้าที่เข้าทาง เขากับแฟนสาวก็จะไปที่ยวตามที่ตั้งใจ แต่ก่อนไปเขาแวะไปยังจุดที่รถ DMC ถูกชนแหลกกระจาย แล้วตอนั้นเองเครื่องข้ามเวลาทำงานก่อนที่ มาร์ตี้พร้อมหัวรถจักรสุดเท่จะโผล่มาหาเขา ซึ่งเขามาพร้อมกับคาร์ร่าและลูกทั้งสองคน
ก่อนที่ด็อกจะมอบภาพถ่ายที่ระลึกแทนคำขอบคุณและหวังว่า มาร์ตี้จะทำให้อนาคตของตัวเองเจอแต่สิ่งดีๆ ส่วนด็อกและครอบครัวก็ออกเดินทางต่อไป
ไอเดียเริ่มต้นเจาะเวลาหาอดีต
ก่อนที่หนังชุด Back To The Future จะประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้ในระดับตำนาน เราต้องพาไปดูจุดเริ่มต้นของหนังจากไอเดียของสองมือเขียนบทอย่าง Robert Zemeckis และ Bob Gale ทั้งสองต่างชื่นชอบหนังแนววิทยาศาสตร์และสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางย้อนเวลา พวกเขาเลยอยากจะลองทำหนังแนวนี้ แต่ก็อัดแน่นไปด้วยความบันเทิงเต็มร้อย โดยไอเดียแรกๆ มาจากการที่พวกเขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือรุ่นของพ่อแม่เมื่อตอนสมัยวัยรุ่น แล้วลองตั้งคำถามว่า
“ถ้าหากเราย้อนกลับไปสมัยตอนพ่อแม่ยังเป็นวัยว้าวุ่น แล้วเราดันเป็นเพื่อนสนิทกันมันจะออกมาเป็นอย่างไร?”
ไอเดียสุดขำขันนี้ทำให้พวกเขาเริ่มปลุกปั้นบทหนังเรื่องนี้ทันที ก่อนจะไปเสนอตามค่ายต่างๆ เป็นสิบๆค่ายซึ่งในจำนวนนี้มีสองค่ายยักษ์ใหญ่ให้ความเห็นว่า ‘บทดูน่ารักเกินไป’ และ ‘บทดูฉาวโฉ่ไปนิด’ (ฉากที่มาร์ตี้จูบแม่ตัวเองตอนเป็นวัยรุ่น) ก่อนที่พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด อย่าง Steven Spielberg ที่ได้อ่านบทจบจึงรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์จนทาง Universal Pictures ที่เห็นด้วยจึงไฟเขียวให้พวกเขาเริ่มโปรเจ็คเจาะเวลาหาอดีตทันที แต่มันไม่ง่าย!?
Marty McFly
ตัวเอกของเรื่องอย่าง ,Marty McFly เราจะจดจำภาพของ Michael J. Fox จนกลายเป็นบทบาทที่น่าจดจำของเขาในอาชีพนักแสดง แต่ในช่วง 5 สัปดาห์แรกนั้น กลับไม่ใช่เขา แต่เป็นนักแสดงสายดราม่าอย่าง Eric Stoltz มารับบทนำของเรื่อง ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ความจริงทั้งสองคนคือตัวเลือกในบทมาร์ตี้ แต่ฝั่งไมเคิ่ลที่ตอนนั้นมีคิวถ่ายซีรีส์เต็มเวลาจนไม่อาจปลีกตัวถ่ายหนัง ซึ่งทางค่าย Universal ก็ไม่รอจึงทำให้สองผู้สร้างต้องใช้ Eric แสดงเพื่อเปิดกล้องให้ทันตามกำหนด
ตลอด 5 สัปดาห์ ทั้งสองคนมองว่า Eric ไม่สามารถเป็นมาร์ตี้ได้ตามที่พวกเขาคาดหวัง ท้ายที่สุดพวกเขาจึงพักกองแล้วเตรียมถ่ายซ่อมใหม่หมด โดยเปลี่ยนนักแสดงนำมาเป็น Michael พร้อมกับเจรจากับทางค่ายเพื่อของบเพิ่ม จากนั้นพวกเขาจึงขอเจรจากับทางซีรีส์ในตอนนั้นเพื่อขอคิวถ่ายให้กับเขา ทำให้ช่วงที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือช่วงเวลาที่ทรหดของเขา เพราะหลังจากถ่ายซีรีส์จบก็ต้องนอนในรถงีบพักผ่อนจนช่วงเย็นก็มาถ่ายทำหนังจนถึงเช้าอีกวัน แต่ด้วยสปิริตและความมุ่งมั่นที่ทำให้เขาสามารถเป็นมาร์ตี้จนผู้ชมจดจำได้จนทุกวันนี้
Dr. Emmett Brown
อีกหนี่งตัวละครที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คงจะเป็น ดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ หรือ ด็อก บราวน์ นักวิทยาศาสตร์ สติเฟื่อง ที่ได้ยอดนักแสดงอย่าง Christopher Lloyd ที่ดีไซน์ตัวละครได้รับแรงบันดาลใจ จากนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องอย่าง Albert Einstein และวาทยกรอย่าง Leopold Stokoski มาเป็นต้นแบบ แถมบทสนทนาของเขาส่วนหนึ่งก็เกิดจากการด้นสดของเขาด้วยตัวเอง
DMC DeLorean
ทีนี้เรามาพูดถึงตัวแรงที่เป็นสัญลักษณ์ของหนังชุดนี้ นั่นคือรถสปอร์ตประตูปีกนก DMC DeLorean ที่รูปลักษณ์ดูล้ำสมัยและเหมาะที่จะมาเป็นรถข้ามเวลาสุดเท่ที่พวกเรารู้จักกัน มีเรื่องเล่าสนุกๆตอนที่สองผู้สร้างกำลังคิดไอเดียไทม์แมชชีนนั้น ตอนที่พวกเขาเลือกใช้รถเป็นไทม์แมชชีน มีตัวเลือกมากมายเข้าหาพวกเขาหนึ่งในนั้นคือฟอร์ดที่ทุ่มงบเต็มที่เพื่อจะให้นำ Ford Mustang มาเข้าฉาก แต่สุดท้ายทั้งสองคนให้คำตอบกับฟอร์ดว่า “ด็อกเขาไม่ชอบขับมัสแตง!”
สำหรับเจ้า DMC DeLorean ถูกนำมาใช้ในหนังถึงสามคัน ตั้งแต่สภาพครบเครื่องจนถึงแยกชิ้นส่วนในช่วงตอนถ่ายเจาะ
แล้วการที่ทั้งสองเลือกรถสปอร์ตคันนี้เป็นม์แมชชีน นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะว่านอกจากจะมีเสน่ห์เข้ากับธีมหนังแล้ว ตอนที่หนังเข้าฉายมันกลายเป็นรถสปอร์ตที่ใครๆหมายปองอยากครอบครองให้ได้
ความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ Pop Culture
Back To The Future สร้างจากทุนสร้างเพียง 19 ล้านดอลลาร์ เมื่อถึงวันเข้าฉายมันทำรายได้ถึง 381 ล้านดอลลาร์ แล้วเป็นหนังที่ครองอันดับหนึ่งในตาราง Box Office ถึง 11 สัปดาห์ แล้วยังได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในปี 1985 จากนั้นก็มีการสร้างภาคต่ออีกสองภาค ก่อนที่ 30ปีให้หลัง มันกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับตำนานของ Pop Culture แล้วยังมีการผลิต ดีวีดีให้แฟนเดนตายได้สะสม รวมถึงไปปรากฏตามสื่อต่างๆ รวมถึงกิจกรรมของแฟนหนังที่รวมตัวกันในวาระครอบรอบทุกปี แสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้ยังมีแฟนๆที่ชื่นชอบมาตลอดแถมยังมีแฟนรุ่นใหม่ติดตามอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Back to The Future ที่นำมาฝากกัน ใครมีความทรงจำดีๆของหนังเรื่องนี้ก็มาแชร์ความคิดแลกเปลี่ยนกันได้ครับ…
@P.PETTY
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.imdb.com/title/tt0088763/trivia/
https://en.wikipedia.org/wiki/Back_to_the_Future_(franchise)
https://www.alltherightmovies.com/feature/18-interesting-facts-about-back-to-the-future/#google_vignette
https://pantip.com/topic/35757114