Transformer 4 : The age of Extinction
ผู้กำกับภาพยนตร์: Michael Bay
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Ehren Kruger
นักแสดงนำ: Mark Wahlberg, Nicola Peltz, Jack Reynor, Stanley Tucci
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
ความยาว: 2 ชม 40 นาที
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 26 มิถุนายน 2557 (รอบพิเศษ 25 มิถุนายน 2557 รอบ 18.00 น. เป็นต้นไป)
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Paramount Pictures, Hasbro, Di Bonaventura Pictures
เดี๋ยวจะหาว่านั่งเทียน ไปดูมาจริงๆนะเออ!! (แต่พนักงานไม่ฉีกตั๋วให้ ต้นขั้วครบเลย แปลกดี 555)
ก็ตามสัญญาครับ จริงๆแอดมินว่าจะออกไปดูตั้งกะวันแรกที่เข้าโรง (6โมงเย็นของวันพุธที่ 25 มิถุนายน) แต่ติดภารกิจครับเลยไม่สามารถไปชมได้ พอวันรุ่งขึ้น แอดมินเดินหาโรงที่จะเข้าไปดูถึง 3 ที่!! เพราะเต็มทุกโรง ทุกรอบ กว่าจะได้ดูก็ตามภาพเลยครับ หนังฉายสองทุมครึ่ง กว่าหนังจะจบ ก็ปาไปห้าทุ่มครึ่งแล้ว!!
ความพยายามครั้งใหม่ของเฮียเบย์!!
ต้องบอกกันซักนิดว่า ทรานส์ฟอร์เมอรส์ภาคนี้ ได้ถือกำเนิดจาก “ความไม่พอใจในตอนจบของภาคสาม” ของเฮียเบย์ (ไมเคิล เบย์) นักวางระเบิดแห่งฮอลลีวู้ด ดังนั้น ตัวหนังจะเล่าเหตุการณ์ต่อจากภาคสามทันที ไม่ได้เป็นการ “Reboot”สร้างใหม่ อย่างที่เฮียเบย์ แกเคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศไว้ครับ (สับขาหลอกนี่เอง!!)
หนังภาคนี้ ยังคงเขียนบทโดย เอห์เลน ครูเกอร์ ที่ทำงานเขียนบทให้หนังเอเลี่ยนจักรกลเรื่องนี้มาแล้วในภาคที่สอง ดังนั้น ขอให้ทำใจได้เลยว่า “บทหนังมาสไตล์ภาคสอง” ที่ทั้ง ทื่อ เบลอ ตื้น และสร้างความงุนงงให้กับคนดูแน่นอน!!
ต้องบอกว่า จงลืมทุกอย่างที่เคยรับรู้มาจากอนิเมยุค’80ให้หมด เพราะหนังมัน “เดินทางสู่ท้องทะเล” ในแง่ของเนื้อหาจักรวาลของทรานส์ฟอร์เมอร์ทั้งมวล!!
เนื้อเรื่องภาคนี้ แอดมินขอเล่าสั้นๆละกัน (กลัวโดนดักตีกบาลข้อหา“สปอยล์”) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวบ้านไร่ชายทุ่งตระกูล “เยเกอร์” ที่มีงานหลักคือการ “รับซากอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์มาทำหุ่นขาย”
“เคด เยเกอร์” (มาร์ค วอลเบิร์ก) / “เทซซ่า เยเกอร์” (นิโคล่า เพลท์ช) / “เชน ไดสัน” (แจ๊ค เรย์เนอร์) 3 ตัวละครเดินเรื่องหลักในภาคนึครับ
“เคด เยเกอร์” (มาร์ค วอลเบิร์ก) ชายผู้ทำงานประดิษฐ์หุ่นกิ๊กก๊อกขายไปวันๆ เลี้ยงดูลูกสาวอย่างวัยกำลังโต “เทซซ่า เยเกอร์” (นิโคล่า เพลท์ช) วันนึง เขาได้ไปรับซื้อซากรถบรรทุกเก่าๆเน่าๆ หวังจะซ่อมแล้วแยกชิ้นส่วนขาย แต่นั่นไม่ใช่ซากรถธรรมดาๆ แต่เป็น “ออพติมัส ไพรม์” ผู้นำของเหล่าออโต้บอท ที่เคยทำ “สงครามชิคาโก้” ในหนังภาค 3 และนั่นทำให้พ่อลูกเยเกอร์ และ “เชน ไดสัน” (แจ๊ค เรย์เนอร์) แฟนหนุ่มนักซิ่งรถมืออาชีพของลูกสาว ต้องตกอยู่ในท่ามกลางความฉ้อฉล สมคบคิดของเหล่าผู้มีอำนาจ…และสงครามข้ามดวงดาว ส่วนตัวหนังจากนี้จะเป็นยังไง ก็ไปดูในโรงก็แล้วกันครับ!!
จริงๆแล้ว ฉากบู๊ของเฮียมาร์ค แกก็ดูสนุกนะ จนแอบแซวว่า “นี่มัน Shooter ภาค2นี่หว่า!!”
ครึ่งแรกของหนังเป็นการแนะนำตัวละคร ที่แอดมิน “เกือบหลับคาโรง” เพราะมันน่าเบื่อพอสมควร (จนอยากหารีโมทมากรอข้ามๆไปเลย) แต่พอหนังเข้าสู่จุดพีคของเรื่อง ตัวหนังกลับไร้ซึ่งเหตุ และ ผลรองรับอย่างที่ควรจะเป็นครับ
ตัวหนังในภาคนี้ จะพยายามใส่เรื่องราวของความผูกพันธ์ของตัวละคร ที่มาแนว “ครอบครัว” ที่แอดมินพยายามจับจุดโฟกัสของหนังแล้ว กลับทำออกมาได้ “ไม่อิน”เอาซะเลย เพราะตัวหนัง ถูกพวกฉากแอคชั่นแบบ “เละตุ้มเป๊ะ” ประเคนใส่จนความเป็นดราม่าพ่อหวงลูกสาวนั้น ดูเป็นประเด็นรองไปเลย!
Lockdown หุ่นยนต์ไร้ฝ่าย ที่มาเพื่อกำจัดทั้งออโต้บอท และดีเซปติคอน ด้วยเหตุผลบางอย่าง งานนี้ตึงมือแน่ๆออฟติมัส!!
พอย้ายมายังประเด็น “ความโลภของมนุษย์” ตัวหนังเองก็ทำไม่สุดเพราะเหตุผลเดียวกันคือ “ฉากบู๊ระเบิดเขาเผากระท่อมของอีตาเบย์นี่แหละ” และ การเปลี่ยนแปลงบทบาทตัวละคร ที่แบบ “เฮ้ย ทำไมกลายเป็นยังงั้นวะ!?” ก็มีมาให้อุทานออกมาในโรงเช่นกันครับ
สรุป ในส่วนของเนื้อหา ทำออกมาได้ค่อนข้างเครียดพอสมควร แต่มีข้อเสียคือ “ความยืดยา เวิ่นเว้อ” ในการเล่าเรื่อง จึงทำให้ภาพรวมด้านเนื้อเรื่อง ยังไม่ดีเท่าไหร่ (ขนาดหนังยาว 2ชั่วโมง 40 นาที ยังไม่พอให้เฮียแกเล่าเรื่องเลย! ยืดยาดเกิ๊น!)
งานเอ็ฟเฟ็กต์ จัดเต็ม! (แต่ไม่สุดซะทีเดียว!)
อารมณ์เฮียเบย์คงประมาณว่า “ถล่มเข้าไป ถล่มมันเข้าป๊ายยยยย!! วะฮ่าๆๆๆๆๆ”
ว่าถึงข้อเสียของหนังมาแล้ว มาดูข้อดีบ้าง (นอกจากสาวนิโคล่าที่ดูเพลินตา แบบว่า หลงรักเข้าให้แล้ว!!) ข้อดีที่ว่าก็คือเอฟเฟ็คท์ ที่หลายๆคนคาดหวัง ถึงมันจะไม่สดใหม่ แต่ก็ดูสนุก เร้าใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ทั้งงานภาพสไตล์เฮียเบย์ ที่เล่น “การย้อนแสง” ของภาพ ให้ดูสวยงามฟรุ้งฟริ้งในหนัง ภาพคมรายละเอียดไม่มีเผา ซัดกันนัว มีจังหวะยัดCG ตลอดทั้งเรื่อง ดูแล้วอาจจะเมาระเบิดได้ เพราะเฮียแกจัดเต็มจริงๆ!! รวมทั้งการใส่ Gimmickเล็กๆ ไว้เรียกรอยยิ้มของแฟนๆทรานสฟอร์เมอร์ได้ (บ้าง) แถมบางฉากยังมี โลโก้ สินค้ามาเข้าฉาก เพื่อโฆษณาแบบเนียนๆ
รู้หรือไม่!? ไมเคิล เบย์ เคยทำงานด้านโฆษณามาก่อนทำอาชีพกำกับหนัง ฉะนั้นอย่าแปลกใจ ที่เขาจะถูกใจเหล่านายทุนเป็นพิเศษ เพราะของที่เข้าฉากนั้น เป็นของมียี่ห้อแทบจะทุกอย่าง!!
ลูกเล่นสามมิติในเรื่อง ที่แอดมินว่า มันใช้ไม่ค่อยคุ้มแฮะ…
ข้อเสียของงานด้านภาพคือ “เสียดาย ที่หนังดึงความเป็น 3D ออกมาได้ไม่เต็มที่!” ทั้งๆที่หนัง ถ่ายด้วยกล้อง IMAX แต่กลับใช้ลูกเล่นLayer ของมิติภาพได้ไม่ค่อยคุ้มค่าเลยครับ ฉากบางฉากควรใส่ ก็ไม่ใส่ แต่ฉากไหนไม่น่าใส่ ก็ดันแยกเลเยอร์ซ้อนมากันซะงั้นน่ะ เลยงงๆกับการถ่ายทำ และ “จินตนาการ”ของทีมถ่ายทำนิดหน่อยครับ แถมยังมีช่วงที่ตัดต่อเร็วมาก จนดูไม่ทัน และพาลเอาปวดตาสุดๆ
ส่วนงานด้านเสียงนั้น ส่วนตัวไปดูพากย์ไทยมาครับ เลยบอกไม่ได้ว่าใครเล่นดี ตีบทแตกได้มั้ยอะไรยังไง แต่แอดมินพูดถึง การ “เก็บ” เอกลักษณ์ของเสียง ตามแบบหนังไมเคิล เบย์ ที่เน้นเสียงอึกทึกครึกโครมของหนัง โทนเสียงที่ทุ้มต่ำ ซาวน์แทรคประกอบฉากที่ใส่ออกมาได้ถูกจังหวะมากๆ แต่ขัดใจเพลงประกอบที่ร้องโดย Imagine Dragons ครับ
ส่วนตัวไม่รู้สึกถึง “พลัง” “ความแข็งแกร่ง” ในงานเพลงเหมือน 2 ภาคแรก ที่ใช้บริการจาก Liinkin Park มากกว่าครับ(พูดง่ายๆ ไม่ปลื้มเพลงประกอบ จากวงนี้เลย)
สรุป
เหล่าออโต้บอทหน้าใหม่เกือบยกทีม ที่ยังไม่มีอะไรให้น่าจดจำมากนัก จึงหวังว่าภาคต่อๆไป คงจะเด่นกว่าที่เป็นอยู่ในภาคนีล่ะนะ
ตัวหนัง ยังสลัด “ความห่วย” ในด้านเนื้อหา จากภาคก่อนๆไม่ได้ ราวกับโดน “คำสาป”ของผู้กำกับคนนี้ ที่เหมือน “ทำหนังเอามันส์อย่างเดียว” ไม่ได้ใส่ความแปลกใหม่ หรือนำเสนอสิ่งที่แตกต่างไปจากทั้งสามภาคก่อนหน้านี้ครับ
สิ่งที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดคือช่วงสุดท้ายของหนังที่คนดูอาจต้องตั้งคำถามกับความสามารถของตัวละคร ที่ดันมาใช้เอาตอนจบ (ทำไมมันเก่งขนาดนี้ จะกั๊กไว้ทำไมหว่า!?)
แต่ถ้ามาดูเอามันส์จริงๆล่ะก็ จัดไปเลยครับ ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน! เพราะข้อดีของหนังเรื่องนี้คือ ความมันส์ในการ “ระเบิดฉาก” ซึ่งเมื่อตัวหนังเข้าสู่ช่วง20นาทีสุดท้าย “จะเป็นความมันส์แบบไม่ลืมหูลืมตา” จัดหนัก จัดเต็ม เหมือนภาคที่ผ่านๆมาๆ ยังไงก็เตรียมยาดม ยาหอมได้เลย เมาระเบิดแน่ๆ!!
ที่มาของ “กัลเวตรอน” ในหนังนั้น ทำออกมาได้ทำร้ายจิตใจแผฟนๆทรานส์ฟอร์เมอรส์อย่างสาหัสจริงๆ!!
จะมีจุดที่น่าสนใจก็คือการเปลี่ยนตัวละครยกชุด ไม่มีพวกนักแสดงหน้าเดิมๆเลย พลพรรคAutobot หรือ Decepticon เองก็พาเพื่อนใหม่ๆมาร่วมวงสงครามแบบไม่มีที่มาที่ไป (บางตัวแอดมินร้อง “เฮ้ย แ-ง มาได้ไงวะ” อารมณ์เหมือนย้อนกลับไปดุอนิเมชุด ทรานส์ฟอร์เมอรส์ ที่ขึ้นชื่อว่า “มั่ว” พอๆกัน!)
แถมบางตัวที่ควรจะมาเป็นทีม ก็ดันมาไม่ครบองค์ แถมมีทีท่าว่าจะออกทะเลด้วยซ้ำ (ข้อมูลบางส่วน ก็ทำมา “ขัดแย้ง”กันเอง กับเวอร์ชั่นการ์ตูนในหลายจุด) แถมพวกหุ่นเหล็กตัวใหม่ๆ แอดมินมองว่า “ยังไม่มีอะไรให้น่าจดจำมากนัก” มัน จึงทำให้คนดูไม่อินมากเท่าทีควรครับ (บางตัวออกมาขโมยซีนเท่ๆ ไปเยอะมาก) ทำให้แฟนๆการ์ตูนหุ่นเหล็ก ต้องทำใจพอสมควร ส่วนคอหนัง คงไม่ซีเรียสหรอก (มั้ง)
ไดโนบอท ตัวละครที่ออกแบบเท่มาก แต่ทำบทออกมาไม่คุ้มค่าตัวเล้ย!!
Movie Rank C
คะแนน 6/10 สำหรับคนทั่วไป
คะแนน 4/10 สำหรับแฟนๆ Transformer รุ่นดึก ที่เคยผ่านการชมอนิเมมาก่อน (เพราะรัก จึง “สับ” คะแนนแหลกครับ)
ข้อดี : แอคชั่นมันส์สะบั้นหั่นแหลกแหกค่าย / CG เนียนตาตามมาตรฐาน ไมเคิล เบย์/งานออกแบบหุ่นในเรื่องที่เปลี่ยนไป ทำให้ใส่ลูกเล่นต่างๆที่เหมาะกับการขายของเล่นมากขึ้น / แสง สี งานภาพ สวยงาม มุมกล้องเยี่ยมในหลายๆจุด /องค์ประกอบของนักแสดง ที่ดูเข้ากันมากๆ / ไดโนบอท เท่โคตรๆ
ข้อเสีย : ลูกเล่นของระบบ 3 มิติ ที่ยังใช้ได้ไม่ถูกจังหวะ / เนื้อเรื่องที่อ่อนในประเด็นดราม่าครอบครัว และ การฉ้อฉลขององค์กรต่างๆในเรื่องก็ทำออกมาได้จืดชืดมากๆ / หนังจบเดาทางง่ายโคตรๆ ตามแบบหนังไมเคิล เบย์ / เพลงประกอบ “ไม่เพราะ” / ไดโนบอทออกมาน้อยไปนิด / ตัดต่อฉับไวเกินไป จนบางทีก็ดูไม่รู้เรื่อง
แนะนำ ไปดู 2D เถอะครับ อย่าไปดู 3D เลย อาจจะหงุดหงิดได้ครับ! เราเตือนคุณแล้ว!
มีภาคต่อแน่นอน “ฟันธง”!!
By Admin Ak Fourtyseven
-
Review : Ducky Zero 6108 – คีย์บอร์ดที่ใช้งานง่ายและครบครัน [สั่งซื้อ / ราคา / สเปค]
#Ducky #Keyboard #GamingGear
#AiStriker #DUCKYKEYBOARD #duckykeyboard #mechanicalkeyboard -
Blokees Saint Seiya – Star Edition : 1st [กล่องสุ่ม / ราคา / วันวางขาย / สั่งซื้อ]
#Blokees #SaintSeiya #Toys #Model #กล่องสุ่ม
-
ทำความรู้จักม้ามืดของปี 2024 Balatro: เกมไพ่ผสมกลยุทธ์สุดมันส์
#เกมส์ #เกมไพ่ #เกมกลยุทธ์ #เกมมือถือ