ถ้าหากจะพูดถึงหนังแนวเหตุการณ์หลังโลกล่มสลาย หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อหนังชุด Mad Max อย่างแน่นอน กับภาพของตัวเอกในชุดหนัง และรถสุดเท่ที่ต้องเผชิญเหตุการณ์อันตรายในวันที่โลกล่มสลาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าจดจำของแฟนหนังในยุค 70’s และแจ้งเกิดให้กับนักแสดงนามว่า เมล กิ๊บสัน กลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา แถมหนังมีภาคต่อถึง 4 ภาค ล่าสุดกับภาคแยกของหนังชุดนี้อย่าง Furiosa : A Mad Max Saga ที่จะเล่าเรื่องราของตัวละครหญิงแกร่งจากภาค Fury Road อย่าง ฟูริโอซา ซึ่งมีกำหนดฉายในปีหน้า วันนี้เราจะพาไปเปิดลิ้นชักความทรงจำกับ 10 เกร็ดเรื่องราวน่าสนใจของหนังชุดนี้มาฝากกันครับ ไปชมกันเลยครับผม…
จุดเริ่มต้นโลก Mad Max ของชายนามว่า George Miller
ตำนานของ Mad Max เริ่มติดเครื่องครั้งแรกในปี 1971 จากชายผู้ชื่นชอบหนังเป็นชีวิตจิตใจนามว่า จอร์จ มิลเลอร์ ซึ่งในเวลานั้นเขาเป็นเพียงแพทย์ที่ชื่นชอบหนัง จนได้เจอกับ ไบรอน เคนเนดี้ โปรดิวเซอร์ คู่บุญโดยไอเดียตั้งต้นของพวกเขาอยากจะทำหนังสารคดีเกี่ยวกับสนามแข่งรถในออสเตรเลีย ก่อนที่พวกเขาจะพัฒนาไอเดียตัวหนังจนเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟที่มี รถยนต์ เป็นหัวใจหลักของเรื่อง โดยตัวจอร์จ หยิบสิ่งรอบตัวคือ อุบัติเหตุจากรถยนต์ ที่เกิดขึ้นบ่อยในบ้านเกิดของตัวเอง บวกกับเขาที่ทำงานในโรงพยาบาลจนเห็นเป็นเรื่องชินตา ทำให้เขาหยิบสิ่งที่เจอมาใส่และพัฒนาเป็นหนังชุดนี้
นอกจากนี้จุดตั้งต้นของหนัง Mad Max มาจากทฤษฎีที่ว่า คนเรายอมทำทุกอย่างเพื่อให้รถวิ่งต่อได้ แล้วนั่นทำให้จอร์จและไบรอนก็พัฒนาบทออกมาจนกลายเป็นเรื่องราวใน Mad Max นั่นเอง
ทุนจำกัดกับบรรยากาศการถ่ายทำที่แสนสาหัส
มีเรื่องราวว่าตอนที่สร้าง Mad Max ภาคแรกพวกเขาได้ทุนจากการระดมทุน + เงินเก็บของจอร์จที่ได้จากการทำงานในโรงพยาบาลรวม 350,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 400,000 ดอลลาร์ สหรัฐฯ) เป็นทุนตั้งต้นทำหนังภาคแรก พวกเขาจึงต้องใช้อย่างระมัดระวังทั้งการเลือกนักแสดงและอุปกรณ์ประกอบฉาก บรรยากาศถ่ายทำก็หนักหนาพอสมควร เพราะพวกเขาต้องถ่ายเอกสารบทหนังไปแจกนักแสดง
รถบ้านที่ใช้ในฉากไล่ล่าก็ยอมใช้รถของตัวเองเข้าฉาก และจบการถ่ายทำทุกครั้งต้องมากวาดเศษซากจากถนน แถมใช้เวลาเพียง 12 อาทิตย์ในเมลเบิร์น
แถมหลังถ่ายทำ ก็หอบหนังไปตัดต่อหนังที่ห้องครัว ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมด จนได้เป็นตัวหนังสมบูรณ์
บัตรผ่านผู้วิเศษของ Toecutter
อีกหนึ่งเรื่องราวสนุกๆของหนึ่งในนักแสดงหนัง Mad Max ภาคแรกนามว่า ฮิวจ์ คีย์ส เบิร์น ในบทวายร้ายประจำภาคอย่าง โทคัตเตอร์ ซึ่งจอร์จ มิลเลอร์ ประทับใจผลงานการแสดงของเขาใน A Midsummer Night’s Dream บวกกับเขาเคยรับบทเป็นสิงห์มอเตอร์ไซค์ในหนังเรื่อง Stone (1974) ซึ่งเขาเองยินดีที่จะรับบทเป็นวายร้ายของเรื่อง แต่ด้วยทุนจำกัดที่ไม่อาจจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินครบทีม (ฮิวจ์ตกลงรับบทและจะพาเพื่อนนักแสดงมาร่วมแสดงด้วย) แต่จอร์จแก้ปัญหาด้วยการจะส่งมอเตอร์ไซค์ที่แต่งทรงเครื่องพร้อมชุดเข้าฉากรวมถึงอุปกรณ์ ให้เขาและผองเพื่อนขับจากซิดนีย์มายังกองถ่ายที่เมลเบิร์น
การเดินทางของพวกเขาทำให้ ฮิวจ์และเพื่อนๆได้วิเคราะห์ตัวละครของพวกเขาตลอดทาง มีบ้างที่จะแวะริมถนน จนเกือบพลาดระหว่างทางแต่ก็ขับมาถึงกองถ่ายครบทุกคน ระหว่างทางพวกเขาจะพกจดหมายไว้เวลาตำรวจขอดูเพื่อยืนยันว่าพวกเขาไม่ใช่นักซิ่งกวนเมือง แต่เป็นนักแสดง เปรียบดั่งบัตรผ่านผู้วิเศษยังไงยังงั้น (ฮ่า!)
การเดินทางของเขาและผองเพื่อนที่นอกจากทำให้ตัวละครมีมิติและน่าเชื่อถือแล้ว ยังกลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำของหนังชุดนี้ โดยเฉพาะ ฮิวจ์ ที่ภายหลังเป็นที่จดจำนบทวายร้ายนามว่า โทคัตเตอร์ ก่อนที่หลายปีผ่านไปเขาได้กลับมาร่วมงาน กับบทวายร้ายนาม อิมมอทัล โจ ในภาค Fury Road
Mel Gibson
ในตอนที่ จอร์จ มิลเลอร์ กำลังเฟ้นหาผู้รับบท แม็กซ์ ร็อกคาแทนสกี ซึ่งตัวเขาอยากได้นักแสดงใหม่ ซึ่งบุคลิกเขาอยากได้นักแสดงที่มีความเป็น คลินต์ อีสต์วู้ด และ สตีฟ แมคควีน ผสม ซึ่งจอร์จยังคงหาใครมารับบทตัวเอกของเรื่องไม่ได้เลย ก่อนที่เขาจะได้เจอเพชรน้ำงามจากการชมการแสดงละครของสถาบันศิลปะการละครแห่งชาติ ในที่สุดเขาก็ได้นักเรียนการแสดงปีสุดท้ายนามว่า เมล กิ๊บสัน ที่มีบุคลิกตรงตามที่เขาต้องการมาสวมบทพระเอกเรื่อง แล้วยังได้ สตีฟ บีสลีย์ เพื่อนของกิ๊บสันมารับบทเป็นคู่หูที่ชื่อว่า จิม กู๊ส
หนังถูกแบนในนิวซีแลนด์
Mad Max ภาคแรกประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย ก่อนจะไปฉายตามประเทศต่างๆ แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างนิวซีแลนด์กลับแบนหนังเรื่องนี้ เพียงฉากๆเดียว นั่นคือ ฉากของ จิม ที่ถูกกลุ่มโทคัตเตอร์ลอบกัด ก่อนจะเผาทั้งเป็นบนรถ ซึ่งสมัยนั้นเป็นฉากที่น่ากลัวรุนแรง แต่หลังจากความสำเร็จของภาคที่สอง The Road Warrior ก็มีการผ่อนปรนให้หนังเข้าฉายได้ แต่จำกัดเรทผู้ชมที่มีอายุ 18ปีขึ้นไป สามารถเข้าชมได้
ว่าด้วยเรื่อง Dog สุนัขคู่ใจของแม็กซ์
ในภาคสองอย่าง Road Warrior แม็กซ์มีเพื่อนคู่ใจอย่าง DOG สุนัข ซึ่งสุนัขตัวนี้ได้มาจากการที่จอร์จ และคนดูแลสัตว์ ได้ไปเจอมันที่สถานสงเคราะห์สัตว์แห่งหนึ่ง ก่อนจะเลือกให้มาแสดงในหนังภาคนี้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเวลาเข้าฉากคือ ถ้าวันไหนมีฉากที่ต้องนั่งในรถของแม็กซ์ ซึ่งเสียงดังมาด และมันทนไม่ได้ จึงแก้ปัญหาด้วยการให้ใส่หูฟัง
หลังจากปิดกล้องสุนัขตัวนี้ก็ไปอยู่กับผู้ดูแลสัตว์ อุปการะเลี้ยงดูจนสิ้นอายุขัย
แรงบันดาลใจของภาค 2 มาจากเหตุการณ์จริง
หนังภาคที่สองของ Mad Max อย่าง Road Warrior ที่เข้าฉายในปี 1981 นั้น ถือเป็นการสานต่อจากความสำเร็จของภาคแรกแบบเกินความคาดหมายทำให้ภาคนี้จึงได้ทุนเยอะพอที่จะเนรมิตเรื่องราวตามที่ต้องการ ซึ่งภาคนี้ จอร์จ มิลเลอร์ ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในเวลานั้นอย่าง เหตุการณ์วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 1970 ที่ถือว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ โดยเฉพาะน้ำมันที่ส่งผลกระทบในวงกกว้าง มันเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่มาเป็นต้นแบบให้กับเรื่องราวในภาคนี้
เราเกือบจะได้เห็น Joker เป็น Max คนใหม่
ต้องบอกว่าภาค Fury Road คือภาคที่4ของหนังชุด Mad Max ที่กินเวลายาวนานหลายปี ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆอย่างจนทำให้ เมล กิ๊บสัน บอกลาบทสร้างชื่อ ทำให้ จอร์จ มิลเลอร์ จึงต้องหานักแสดงใหม่มารับบทเป็น แม็กซ์
โดยตอนแรก ฮีธ เลดเจอร์ คือคนที่มีโอกาสสวมบทบาทเป็นแม็กซ์ แต่หลังจากการเสียชีวิตจากการรับบทเป็น Joker ทำให้ตอนหลัง ทอม ฮาร์ดี้ ได้รับบทนี้แทนอย่างที่เราได้เห็นกันนั่นเอง
138 วัน เพื่อฉากๆเดียว
หากพูดถึงฉากที่น่าจดจำของ Mad Max Fury Road ก็คงจะนึกถึงฉากไล่ล่าที่โหดและอลังการ ซึ่งกว่าจะได้ฉากสุดเท่ฉากนี้ จอร์จ มิลเลอร์ และทีมงานต้องใช้เวลา 138 วันที่พิถีพิถันกับงานนี้
โดยใช้สตอรี่บอร์ดเป็นไกด์ระหว่างถ่ายทำ และพยายามใช้ซีจีให้น้อยที่สุดเท่าที่จำได้ ผลที่ได้กลายเป็นฉากในตำนานที่หลายคนจำได้เป็นอย่างดี
สเปรย์ Color Mist ขายดี เพราะ Mad Max
Mad Max Fury Road ที่นอกจากจะเป็นการกลับมาของหนังขวัญใจใครหลายคนแล้ว ความน่าสนใจคือมีของที่ได้อานิสงส์จากหนังเรื่องนี้นั่นคือ สเปรย์สีสำหรับผสมอาหารยี่ห้อ Color Mist
ซึ่งทีมงานได้เอามาใช้เป็นของประกอบฉาก เมื่อหนังเข้าฉายก็มีแฟนหนังหาซื้อสีมาพ่นปากและพูดประโยคเดียวกับตัวละคร “จงดูข้า” จนเป็นกระแสโด่งดังชั่วข้ามคืน
และทำให้สเปรย์พ่นอาหาร ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนทางบริษัทก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย (ฮ่า!)
@P.PETTY
ข้อมูลประกอบ
https://www.kidjarak.com/mad-max-fury-road-facts/
https://www.youtube.com/watch?v=dob4SPE3-tY&ab_channel=KEEPWATCHING