“10 เรื่องน่ารู้ของ Pokemon”
หากพูดถึงซ๊รี่ยส์ที่ครองใจเด็กๆ (และวัยทำงาน) ในปัจจุบัน ย่อมต้องมีชื่อของ “โปเกม่อน” หรือ “พ็อกเก็ต มอนสเตอร์” ติดมาด้วยแน่นอน ด้วยเรื่องราวอันสนุกน่าติดตาม การต่อสู้ของ “ซาโตชิ” / “ปิกะจู” / และเหล่าโปเกม่อนที่หน้าตาน่ารัก แถมดูเท่ในเวลาเดียวกัน บวกกับการที่เป็นการ์ตูนที่ถ่ายทอดความเป็นวิดิโอเกมยอดนิยมออกมาได้ยอดเยี่ยม ก็ทำให้ชื่อของโปเกมอนยังคงมีความขลัง และมีมนต์สเน่ห์ไม่เสื่อมคลาย แม้ว่าในปัจจุบัน จะมีการ์ตูน หรือ เกม แนวๆนี้ออกวางตลาดมาแข่งกับโปเกมอนมากมาย ก็ไม่อาจโค่นได้
และนี่คือ “10 เรื่องน่ารู้ของ Pokemon” ที่เราอาจจะไม่รู้ (เพราะบางเรื่องรู้ไปก็เท่านั้น…55+)
1.ที่มาชื่อของ “ปิกาจู”
ปิกาจู ถูกออกแบบโดย “อัตสึโกะ อิชิดะ” ซึ่งอ้างอิงจาก “Pika” (ไพก้า) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สายพันธุ์กระต่าย มีรูปร่างโดยทั่วไปเล็กกว่ากระต่าย แลดูคล้ายหนู แถมยังไปพ้องกับเสียงประกายไฟขนาดเล็ก (pika pika) บวกกับลักษณะเสียงที่แหลมสูงด้วย (chuchu) จึงกลายเป็น“ปิกาจู”ในที่สุด
ตัวไพก้า หน้าตาก็แบบนี้แหละ!
2.”ซาโตชิ” ชื่อพระเอกโปเกม่อน มาจากชื่อของผู้ก่อตั้งบริษัทพัฒนาเกม!
พระเอกหน้าเดิมจากเวอร์ชั่นอนิเมที่หลายๆคนคุ้นเคย จริงๆแล้ว มีที่มาจาก “ซาโตชิ ทาจิริ” ผู้ก่อตั้งบริษัท “เกมฟรีค” ที่พัฒนาเกมโปเกม่อน
โดยที่มาของคาแรคเตอร์ “ซาโตชิ” มาจากการที่คุณซาโตชิ เป็นคนที่ชอบสะสมแมลงเป็นงานอดิเรก และในช่วงวัยรุ่นนั้นคุณซาโตชิเองก็จัดว่าเป็นเด็กติดเกม ” Space Invader” อย่างหนัก เพราะถึงขั้นงัดแงะเครื่องฟามิคอม เพื่อดูระบบการทำงานของเครื่อง และพยายามวางแผนทำเกมของตนเอง จนสามารถชนะการประกวดโปรนเจคท์ทำวิดีโอเกมที่สนับสนุนโดยบ. SEGA
และเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม เขาก็ตัดสินใจออกผจญภัยเข้าเรียนโปรแกรมเทคนิคระยะเวลา 2 ปีที่วิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งชาติโตเกียว เอกวิชาอิเล็กทรอนิกส์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ และเมื่อได้มีโอกาสทำเกม เขาได้เกิดไอเดียเกม โปเกม่อน จากการที่เห็นเครื่องเกมบอยสองเครื่อง ใช้สายดาต้า แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน + “Capsule Monsters” โปรเจคท์เกมที่ร่างไว้บนหน้ากระดาษจากความชอบในการสะสมแมลงนั่นเอง… (ข้อมูล http://bulbapedia.bulbagarden.net/wiki/Satoshi_Tajiri)
3. “ภาคโกลด์” และ “ภาคซิลเวอร์” เคยคิดจะผลิตออกมาเป็นภาคสุดท้าย!!
เป็นเรื่องราวในช่วงก่อนปี 2000 ช่วงปลายๆยุคเครื่องเกมบอยขาวดำ และรุ่นคัลเลอร์ โดยทางทีมพัฒนาเคยถอดใจแล้ว แถมยังตัดพ้อว่าอยากจะไปทำอย่างอื่น แต่กลับเกลายเป็นว่าภาคนี้ รายได้ถล่มทลาย ขายดี (รวมจำนวนที่ขายได้คือ 23 ล้านตลับ – ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
แถมแว่วๆว่าในตอนนั้น โปเกมอนภาคโกลด์และภาคซิลเวอร์ เคยมีแผนจะแถม Skateboard ลงไปในแพคเกจด้วย แต่ก็ถูกยกเลิกไปซะก่อน…
4. “ไรดอน” โปเกม่อนตัวแรกที่ถูกออกแบบบนหน้ากระดาษ
ในการให้สัมภาษณ์ของคุณ “เคน ซุงิโมริ” ได้ออกมากล่าวถึง “ไรดอน” โปเกมอนหน้าตาคล้ายแรดตัวนี้ว่า “เป็นโปเกมอนตัวแรกที่ได้ออกแบบขึ้นมา” โดยดีไซน์นี้อ้างอิงมาจากการร่างโปรเจคท์เกม “Capsule Monsters” ซึ่งตั้งใจจะให้เป็นเกมที่เกิดจากแนวคิดของคุณ “ซาโตชิ ทาจิริ” หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Game Freak บิดาผู้ให้กำเนิดซีรี่ส์ของ Pokemon ทั้งหลายนั่นเอง
“Capsule Monsters”โปรเจคท์ต้นฉบับโปเกมอน ที่ร่างไว้ในปี 1990
5. ทีมงาน Game Freak ผู้พัฒนาเกมโปเกม่อนใน อดีตเคยเป็นทีมงานทำนิตยสารเกมมาก่อน
ก่อนเป็นบริษัท เกมฟรีกเคยเป็นนิตยสารวิดีโอเกมที่ตีพิมพ์เอง ก่อตั้งโดย “ซาโตชิ ทาจิริ” และ “เคน ซุงิโมริ” เป็นผู้วาดภาพประกอบ และ “เกมฟรีค” เป็นนามปากกาเมื่อครั้งที่เขาเป็นนักเขียนอิสระให้กับสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เช่น นิตยสารแฟมิลีคอมพิวเตอร์แมกาซีน และแฟมิคอมสึชิง (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
6. Pokemon Crystal มีระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเพื่อแลกเปลี่ยนไอเทมเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น!
อันนี้เป็นเรื่องราวของยุคเครื่อง Gameboy Colour ที่วางแผนเอาไว้ว่า จะให้ผู้เล่นได้ทำการคัดลอกข้อมูล หรือทำการแลกเปลี่ยนโปเกม่อนผ่านทางโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ “เคียวเซร่า” และให้ชื่อเกมว่า Pokemon X (ポケットモンスターX) ในปี 2000 (ตามแหล่งข่าวจาก อาซาฮีชิมบุน ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1999 ) แต่ว่าก็ต้องพับโปรเจคท์ไปก่อน เพราะต้องหลีกทางให้การพัฒนาเกมลงเครื่อง Gameboy Advance ในตอนนั้น และก็ลืมกันไป
และชื่อของ Pokemon X ก็กลับมาเป็นชื่อเกมลงเครื่อง 3DS ในปี 2013
7. มีเด็กชายชาวอังกฤษประกาศแลกน้องสาวของตัวเอง กับการ์ดเกมโปเกม่อนรุ่นหายาก!?
ในช่วงปลายยุค 90-2000 ตอนต้น เป็นยุคที่โปเกม่อนบูมทั่วโลก และ “การ์ดเกมโปเกม่อน” ก็โด่งดังเทียบชั้นการ์ดเกมระดับโลกในขณะนั้น ทำให้เด็กชาย 8ขวบ ชาวอังกฤษ ได้โทรศัพท์ไปยังสถานีวิทยุท้องถิ่น ยินดีที่จะแลกน้องสาววัยแบเบาะ กับการ์ดระดับหายาก “การ์ดปิกาจู โฮโลแกรม Ver.” โดยแม่ของเขากล่าวว่า “เขายอมแลกของเล่นทั้งหมดที่มี เงินสะสมส่วนตัว แม้แต่เตียงนอน เพื่อแลกกับการ์ดเกมโปเกม่อน”
ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องขำขันตามประสาเด็กๆ (เพราะไม่มีใครมาแลกหรอก จริงมั้ย?) แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน หลายโรงเรียนในสหราชอาณาจักรต้องออกกฎ “ห้ามเด็กเล่นการ์ดโปเกม่อนในโรงเรียน” เพราะมีปัญหาเด็กเอาอาหารกลางวันมาแลกกับการ์ดที่ตนอยากได้…ถือว่าเป็นเรื่องราวเป็นจริงเป็นจังระดับประเทศกันเลย…
8.การ์ดหายากสุดๆ มีราคาถึง 100,000$ (ราวๆ 3 ล้าน 5 แสนกว่าบาท)!
ต่อจากข้อข้างบน ในวัยเด็กเราอาจจะไม่สนใจเรื่องสินค้าราคาค่างวดเท่าไหร่นัก แต่ใครจะคิดว่า อีกหลายสิบปีต่อมาจะมีมูลค่าระดับพลิกชีวิตของคนได้ เมื่อ “การ์ดปิกาจู โฮโลแกรม Ver.” รุ่นตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารโคโรโคโร ที่มีเพียง 5 ใบในโลก (ผลิตในญี่ปุ่นปี 1998) ซึ่งก็มีคนเอามาลงขายใน e-bayในราคาเปิด 100,000$ และการประมูลจบลงโดยที่ไม่มีใครเข้าร่วมประมูลเลย…
ซึ่งเอาจริงๆ การ์ดใบนี้เปิดขั้นต่ำก็ 20,000$ เท่านั้น (ซึ่งก็ยังแพงอยู่ดี)
9. โปเกม่อนนักมวย มาจากชื่อของนักมวย!!
เอบิวาร่า และ ซาวามูร่า (Ebiwalar / Sawamular) สองโปเกม่อนนักมวย ที่ได้เอาชื่อของยอดนักมวยชาวญี่ปุ่น “ฮิโรยูกิ เอบิฮาระ” และนักมวย Kickboxing “ทาดาชิ ซาวามูระ” มาเป็นชื่อตัวละครนี้
แต่เมื่อข้ามฟากไปยังฝั่ง US แล้ว ทั้งสองตัวนี้ ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ฮิโตมอนชาน” และ “ฮิโตมอนลี” (Hitmonchan / Hitmonlee) แน่นอนว่า 2ตัวนี้ มาจากดาราหนังชื่อดัง “แจ๊กกี้ ชาน” และ “บรูซ ลี” นั่นเอง…
10.ซีรี่ยส์โปเกม่อน เป็นซีรี่ยส์ที่ทำเงินมากกว่า 39 ล้านล้านเหรียญ และมียอดขายรวมกันทุกภาคมากกว่า 200ล้านก๊อปปี้!!
โปเกม่อน เป็นซีรี่ยส์ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับสองตลอดกาล (จะเป็นรองก็แค่”มาริโอ”เท่านั้น) แถมถ้าเอาปกเกมทุกภาคที่ขายได้มาวางรวมกัน ก็จะมีความยาวมากถึง 16,000 ไมล์ และเมื่อนับถึงภาค XY เกมนี้ก็จะมีจำนวนโปเกม่อนมากถึง 721 แบบกันเลยทีเดียว
ทีมงานเมทัลบริดจ์